
ในโลกของการทำงานและการวางแผนการเงิน หนึ่งในสวัสดิการพื้นฐานที่มนุษย์เงินเดือนมาตรา 33 ทุกคนคุ้นเคยกันดีคือ “ประกันสังคม” ซึ่งตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เราคุ้นชินกับการถูกหักเงินสมทบสูงสุดที่ 750 บาทต่อเดือน (คิดจากฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท) แต่ทราบหรือไม่ว่า ในเร็วๆ นี้ โครงสร้างที่เราคุ้นเคยกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป และเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้คำนวณเงินสมทบใหม่ โดยจะเริ่มดีเดย์ในปี 2569 นี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเงินในกระเป๋าและสิทธิประโยชน์ในระยะยาวของเราทุกคน

ปรับเพดานค่าจ้าง 2569 ผู้ประกันตนต้องจ่ายเพิ่มเท่าไรได้สิทธิ์อะไรบ้าง บทความนี้ efinancethai จะพาไปเจาะลึกรายละเอียดว่า “การจ่ายเพิ่ม” ครั้งนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร เราต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ในแต่ละระยะ และที่สำคัญที่สุด คือ “ความคุ้มค่า” ที่เราจะได้รับกลับคืนมานั้น สมเหตุสมผลหรือไม่ เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการเงินส่วนบุคคลได้อย่างรัดกุม
ทำไมต้องปรับ? ความจำเป็นของการขยับเพดานค่าจ้าง
ก่อนที่เราจะไปดูตัวเลขเงินที่ต้องจ่ายเพิ่ม เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าทำไมสำนักงานประกันสังคมถึงต้องมีการปรับเพดานค่าจ้าง ทั้งนี้ เนื่องจากเพดานเดิมที่ 15,000 บาทนั้น ถูกใช้มาอย่างยาวนาน ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ และค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันได้ถีบตัวสูงขึ้นไปมาก
ดังนั้น การปรับฐานค่าจ้างให้สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับกองทุนประกันสังคม เพื่อให้มั่นใจว่ากองทุนจะมีเงินเพียงพอที่จะดูแลผู้ประกันตนทุกคนในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ การปรับฐานยังช่วยให้เงินทดแทนการขาดรายได้ (เช่น กรณีป่วย หรือว่างงาน) ที่ผู้ประกันตนจะได้รับนั้น มีมูลค่าที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการดำรงชีพในปัจจุบันมากขึ้น

เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระให้กับลูกจ้างและนายจ้างอย่างกะทันหันเกินไป สำนักงานประกันสังคมจึงวางแผนปรับขึ้นเพดานค่าจ้างแบบ “ขั้นบันได” แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ดังนี้
ระยะที่ 1 : เริ่มต้นปี 2569 – 2571
โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
ระยะที่ 2 : ปี 2572 – 2574
หลังผ่านระยะแรกไป 3 ปี จะมีการขยับเพดานขึ้นอีกครั้ง
ระยะที่ 3 : ปี 2575 เป็นต้นไป
เป็นระยะสุดท้ายของการปรับโครงสร้างเพดานค่าจ้างตามแผนงานนี้
หมายเหตุ : ตัวเลขเงินสมทบข้างต้น คำนวณจากกรณีที่มีเงินเดือนตั้งแต่เพดานสูงสุดขึ้นไป หากท่านมีเงินเดือนต่ำกว่าเพดาน จะยังคงคำนวณที่ 5% ของเงินเดือนจริงตามปกติ
| รายการ | ปี 2568 | ปี 2569 – 2571 | ปี 2572 – 2574 | ปี 2575 เป็นต้นไป |
| เพดานค่าจ้าง | 15,000 บ. | 17,500 บ. | 20,000 บ. | 23,000 บ. |
| เงินสมทบสูงสุด/เดือน | 750 บ. | 875 บ. | 1,000 บ. | 1,150 บ. |
| เจ็บป่วย (สูงสุด/เดือน) | 7,500 บ.(รวม 45,000 บ./ปี) | 8,750 บ.(รวม 52,500 บ./ปี) | 10,000 บ.(รวม 60,000 บ./ปี) | 11,500 บ.(รวม 69,000 บ./ปี) |
| คลอดบุตร/ครั้ง | 22,500 บ. | 26,250 บ. | 30,000 บ. | 34,500 บ. |
| ทุพพลภาพ/เดือน | 7,500 บ. | 8,750 บ. | 10,000 บ. | 11,500 บ. |
| เสียชีวิต (สูงสุด) | 90,000 บ. | 105,000 บ. | 120,000 บ. | 138,000 บ. |
| ว่างงาน (สูงสุด/เดือน)(ไม่เกิน 180 วัน) | 9,000 บ. (เลิกจ้าง)4,500 บ. (ลาออก) | 10,500 บ. (เลิกจ้าง)5,250 บ. (ลาออก) | 12,000 บ. (เลิกจ้าง)6,000 บ. (ลาออก) | 13,800 บ. (เลิกจ้าง)6,900 บ. (ลาออก) |
| บำนาญชราภาพ (15 ปี) | 3,000 บ./เดือน | 3,500 บ./เดือน | 4,000 บ./เดือน | 4,600 บ./เดือน |
| บำนาญชราภาพ (25 ปี) | 5,250 บ./เดือน | 6,125 บ./เดือน | 7,000 บ./เดือน | 8,050 บ./เดือน |
* หมายเหตุ

หลายคนอาจตั้งคำถามว่า “เงิน 125 บาทที่หายไปจากกระเป๋าทุกเดือนในระยะแรกนั้น คุ้มค่าหรือไม่?” ในทางกลับกัน หากมองในมุมของการลงทุนและการบริหารความเสี่ยง การจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้น ย่อมหมายถึงฐานการคำนวณสิทธิประโยชน์ที่สูงขึ้นตามไปด้วย
จากข้อมูลของสำนักงานประกันสังคม การปรับเพดานค่าจ้างในระยะที่ 1 (ฐาน 17,500 บาท) จะส่งผลให้สิทธิประโยชน์ที่เป็นตัวเงินเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในหลายกรณี ดังนี้
กลุ่มนี้คือ Benefit ที่เราจะเห็นผลทันทีเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
จะเห็นได้ว่า ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้น 1,250 บาทต่อเดือนในกรณีเหล่านี้ ถือว่าช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในยามวิกฤตได้ดีขึ้นพอสมควร
นี่คือประเด็นที่ efinancethai อยากให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะเป็นเรื่องของการออมเพื่อเกษียณ เมื่อฐานเงินเดือนที่ใช้คำนวณ (Average Salary 60 เดือนสุดท้าย) สูงขึ้น เงินบำนาญที่จะได้รับรายเดือนหลังเกษียณก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
หากวิเคราะห์แล้ว จะพบว่า หากท่านส่งเงินสมทบเพิ่มขึ้นเดือนละ 125 บาท (ปีละ 1,500 บาท) แต่เมื่อเกษียณ ท่านได้รับบำนาญเพิ่มขึ้นเดือนละ 500 – 875 บาท ตลอดชีวิต การมองในมุมของผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ถือว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยง ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเป็นการเปรียบเทียบโดยประมาณ เพื่อใช้ประกอบการวางแผนการเงินส่วนบุคคลเท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงย่อมมาพร้อมกับการปรับตัว แม้ว่าการปรับขึ้นเพดานค่าจ้างประกันสังคมจะทำให้เรามีเงินสดในมือ ลดลงเล็กน้อยในแต่ละเดือน แต่ในทางกลับกัน นั่นคือ การ “บังคับออม” และ “ซื้อความคุ้มครอง” เพิ่ม ในราคาที่ประหยัดกว่าการไปซื้อประกันเอกชนในความคุ้มครองระดับใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ สิ่งที่นักวางแผนการเงินมักแนะนำ คือ เราสามารถนำยอดเงินสมทบประกันสังคมที่จ่ายเพิ่มขึ้นนี้ ไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตอนสิ้นปีได้เต็มจำนวน (ภายในเพดานค่าลดหย่อนเงินสมทบประกันสังคมที่กฎหมายกำหนด) เท่ากับว่าเราได้ประโยชน์สองต่อ คือ ได้ความคุ้มครองเพิ่ม และได้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่ม
ดังนั้น สำหรับมนุษย์เงินเดือน สิ่งที่ควรทำต่อจากนี้ คือ การวางแผนการเงินล่วงหน้า เตรียมสภาพคล่องให้พร้อมสำหรับการหักเงินสมทบที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2569 และตรวจสอบสิทธิประโยชน์ของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าเราได้รับสิทธิพึงได้อย่างครบถ้วน
หากมีอัปเดตเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎกระทรวงฉบับนี้ หรือเทคนิคการวางแผนการเงินที่น่าสนใจ ทางทีมงาน efinancethai จะรีบนำมาสรุปให้เพื่อนๆ นักลงทุนและมนุษย์เงินเดือนได้ทราบก่อนใครแน่นอน
อ้างอิงจาก สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน