
ตลาดหุ้นและการลงทุนทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อมองข้ามช็อตไปถึงปี 2569 (2026) ท่ามกลางกระแสเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ยังคงร้อนแรง บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกมุมมองและกลยุทธ์การลงทุนจาก คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ นักกลยุทธ์การลงทุน และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ให้สัมภาษณ์ไว้อย่างละเอียดในรายการ F1 Money เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับโอกาสและความท้าทายในโลกการลงทุนยุคใหม่

เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ปี 2569 (2026) โลกการลงทุนยังคงหมุนรอบเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกอย่าง AI แต่คำถามสำคัญ คือ นักลงทุนจะปรับพอร์ตอย่างไรให้ทันเกม บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกมุมมองถึงทิศทางเศรษฐกิจ การประเมินมูลค่าหุ้น และเพชรเม็ดงามในตลาดหุ้นเทคโนโลยีทั้งฝั่งสหรัฐฯ และเอเชีย เพื่อให้คุณพร้อมรับมือกับโอกาสและความเสี่ยงในปีมังกรไฟแห่งเทคโนโลยีนี้
ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2569 การกลับมาของ Goldilocks และผลต่อหุ้นเทคโนโลยี
คุณประกิต ได้อธิบายภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2569 มีแนวโน้มที่จะกลับเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “Goldilocks Economy” หรือภาวะเศรษฐกิจที่กำลังดี ไม่ร้อนแรงเกินไปและไม่ซบเซาเกินไป หลังจากผ่านพ้นความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยในช่วงปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มตั้งหลักได้
นอกจากนี้ การผ่านร่างกฎหมายงบประมาณของรัฐบาลทรัมป์ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งสภาพแวดล้อมเช่นนี้เอื้ออำนวยต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Risk Assets) อย่างมาก ทำให้ยังคงมีมุมมองแบบ Overweight ในหุ้น (Equity) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ยังคงเติบโตได้ดีแม้ในภาวะเศรษฐกิจแบบ K-Shape ที่ผู้ชนะจะยิ่งชนะทิ้งห่างออกไป
จากการวิเคราะห์ทิศทางการลงทุนในปี 2569 โดยคุณประกิต ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญในการคัดเลือกหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Big Tech) ในสหรัฐฯ ว่านักลงทุนไม่ควรพิจารณาเพียงแค่ค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) เพื่อเปรียบเทียบความถูกแพงระหว่างบริษัทเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในปีนี้ คือ การวิเคราะห์ด้วยเกณฑ์ “Percentile” หรือการเปรียบเทียบมูลค่าปัจจุบันกับประวัติศาสตร์ของตัวบริษัทเอง เพื่อค้นหาหุ้นที่ราคายังคงต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
ในอดีตนักลงทุนมักจะตัดสินใจลงทุนโดยดูว่าหุ้นตัวใดมีค่า P/E ต่ำกว่าคู่แข่ง แต่สำหรับกลยุทธ์ในปี 2569 นั้น คุณประกิต เน้นย้ำว่า ตลาดกำลังให้ความสำคัญกับค่าสถิติที่ลึกซึ้งกว่านั้น นั่นคือการดูว่า ณ ปัจจุบัน ราคาหุ้นซื้อขายกันอยู่ในระดับใดเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลังของตนเอง (Standard Deviation หรือ Percentile)
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทในการช่วยวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน ทำให้กรอบความคิดของนักลงทุนทั่วโลกเริ่มถูกบีบให้แคบลงและมุ่งเป้าไปยังทิศทางเดียวกัน ดังนั้น หุ้นที่มีพื้นฐานดีแต่ราคายัง Laggard หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตัวเอง จึงกลายเป็นเป้าหมายหลักที่เม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้าหา
หากย้อนกลับไปในช่วงปีก่อนหน้า หุ้นของ Alphabet เคยเป็นหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองข้าม แต่ในมุมมองเชิงกลยุทธ์กลับพบว่าเป็นหุ้นที่มี Valuation ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ของตัวเอง (Low Percentile) ในขณะที่หุ้นเทคโนโลยีตัวอื่นต่างมีราคาแพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตกันหมด
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อผลประกอบการออกมาดีหรือมีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ราคาหุ้น Alphabet จึงปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงจนกลายเป็น “ผู้ชนะ” (Winner) ของปี อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว ราคาหุ้นได้พุ่งขึ้นจนแตะระดับ Percentile ที่สูงเกือบ 100 % เมื่อเทียบกับอดีต ซึ่งสะท้อนว่ามูลค่าเริ่มตึงตัวและมีความเสี่ยงที่จะถือว่าเป็น “ของแพง” ในขณะนี้
ในทางตรงกันข้าม สำหรับปี 2569 คุณประกิตได้ชี้เป้าไปที่ Microsoft และ Amazon ในฐานะหุ้นที่มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ โดยเมื่อพิจารณาผ่านเลนส์ของ Valuation แบบเทียบกับตนเอง (Percentile) พบว่า หุ้นทั้งสองตัวนี้กำลังซื้อขายอยู่ในระดับที่ “ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย”
ตัวอย่างเช่น หากค่า P/E เฉลี่ยย้อนหลังของบริษัทเคยอยู่ที่ระดับ 25 เท่า แต่ในปัจจุบันราคาซื้อขายอยู่ที่ P/E เพียง 20 เท่า นี่คือสัญญาณบ่งชี้ว่าหุ้นดังกล่าวกำลังอยู่ในโซนที่ “ถูก” กว่าปกติ (Undervalued) เมื่อเทียบกับมาตรฐานของตัวเอง ซึ่งแตกต่างจาก Alphabet ที่ราคาได้ตอบรับความคาดหวังไปมากแล้ว
ดังนั้น การเข้าสะสมหุ้น Microsoft และ Amazon ในช่วงเวลานี้ จึงเปรียบเสมือนการรอคอยจังหวะการเติบโตรอบใหม่ โดยอาศัยหลักการที่ว่า ตลาดมักจะหมุนเวียนเงินลงทุนเข้าสู่สินทรัพย์ที่ราคายังไม่ปรับตัวสูงเกินจริง (Laggard) เพื่อสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าความเสี่ยง

จากบทสัมภาษณ์ของคุณประกิต ได้เปรียบเทียบสิ่งที่น่าสนใจระหว่างตลาดหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ และตลาดเอเชีย โดยชี้ให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 ซึ่งเป็นปีที่กระแสลมแห่งการเติบโตอาจพัดเปลี่ยนทิศทางมายังฝั่งตะวันออกอย่างมีนัยสำคัญ
1. ศักยภาพการเติบโต เปรียบเทียบผ่านระยะทางมาราธอน
สำหรับการประเมินศักยภาพการเติบโต (Growth & Capacity) ของหุ้นกลุ่ม AI นั้น คุณประกิตได้เปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างชัดเจนเสมือนการวิ่งมาราธอนระยะทาง 40 กิโลเมตร หากพิจารณาตลาด สหรัฐอเมริกา จะพบว่าปัจจุบันได้วิ่งมาไกลถึงระยะประมาณ 30 กิโลเมตรแล้ว ซึ่งหมายความว่าราคาหุ้นได้รับรู้ข่าวดีและเข้าใกล้ขีดจำกัดสูงสุด (Capacity) ไปมาก ทำให้ระดับราคา (Valuation) ค่อนข้างตึงตัวและมีโอกาสไปต่อได้จำกัด
ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นเอเชีย เปรียบเสมือนนักวิ่งที่เพิ่งออกตัวมาได้เพียง 10 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งหมายถึงยังมีพื้นที่สำหรับการเติบโต (Upside) อีกมหาศาลรออยู่ข้างหน้า นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตลาดเอเชียมีความน่าสนใจมากกว่าในแง่ของโอกาสสร้างผลตอบแทน (Alpha) ในระยะยาว เนื่องจากตลาดยังไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของการนำ AI มาประยุกต์ใช้เต็มรูปแบบ
2. โครงสร้างทางการเงิน ความแข็งแกร่งจากกระแสเงินสด
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้หุ้น AI เอเชียน่าสนใจ คือ รูปแบบของการระดมทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี โดยคุณประกิต วิเคราะห์ว่า ในขณะที่ฝั่งตะวันตกเริ่มมีความกังวลเรื่องฟองสบู่จากการกู้ยืมเงินมาลงทุน แต่บริษัทเทคโนโลยีในเอเชียกำลังเข้าสู่ “ลูปของการเร่งลงทุน” โดยอาศัย กระแสเงินสด (Cash Flow) จากผลกำไรของบริษัทตัวเองเป็นหลัก ไม่ใช่การก่อหนี้ (Leverage) เพื่อมาลงทุนจนเกินตัว
ปัจจัยพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ทำให้ความเสี่ยงด้านฟองสบู่ในตลาดเอเชียมีน้อยกว่า และเป็นการเติบโตบนรากฐานที่มั่นคง ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการลงทุนที่เน้นความยั่งยืนมากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น
3. Samsung (เกาหลีใต้) ผู้นำนวัตกรรม AI บนสมาร์ตโฟน
เมื่อเจาะลึกรายบริษัทในกลุ่มเอเชีย Samsung จากเกาหลีใต้ ถือเป็นตัวเลือกที่คุณประกิตเน้นย้ำว่า เป็นหุ้นที่น่าเก็บสะสมอย่างยิ่ง โดยมีการคาดการณ์ว่าในปีหน้า Samsung จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการเปิดตัว โมเดล AI (AI Model) ของตนเองที่จะนำมาใช้บนโทรศัพท์มือถือ
โมเดลดังกล่าว คาดว่าจะสร้างความตื่นเต้น (Wow Factor) ให้กับตลาดได้อย่างมาก ด้วยความสามารถในการตอบสนองที่รวดเร็วฉับไวประดุจสายฟ้าแลบ และมีความฉลาดล้ำลึกในการทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัว ซึ่งนวัตกรรมนี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่ผลักดันให้ราคาหุ้น Samsung กลับมาโดดเด่นอีกครั้งในฐานะผู้นำ AI ฝั่งฮาร์ดแวร์
4. จีนกับการกลับมาของ 3 ทหารเสือ และความเสถียรของ Xiaomi
สำหรับตลาดจีน แม้จะมีความผันผวนบ้าง แต่คุณประกิตยังคงมองว่ากลุ่ม “3 ทหารเสือ” ยังคงเป็นแกนหลักที่ต้องมีติดพอร์ต ได้แก่:
5. อินเดียกับดาวเด่นดวงใหม่แห่งปี 2569
สุดท้ายนี้ หากมองหาการเติบโตที่ร้อนแรงที่สุด คุณประกิตยกให้ อินเดีย เป็นประเทศที่จะกลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ในปีหน้า หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากจากประเด็นสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทางการเมือง
การฟื้นตัวของอินเดียจะเป็นไปในทิศทางที่สอดรับกับนโยบายเศรษฐกิจโลกใหม่ และคาดว่าจะเป็นตลาดที่สร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นที่สุดตลาดหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดจีนและสหรัฐฯ

ในเวลานี้นักลงทุนจำนวนมากต่างมีความกังวลถึงภาวะ “ฟองสบู่” ในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ว่ากำลังเข้าใกล้จุดวิกฤตที่จะระเบิดออกหรือไม่ จากการวิเคราะห์เชิงลึกโดย คุณประกิต ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า แม้ภาวะฟองสบู่ในกลุ่ม AI จะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ช่วงเวลาที่ฟองสบู่จะ “แตก” นั้นยังคงอยู่อีกยาวไกล ด้วยเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์และโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ขนาดการลงทุนเทียบกับ GDP ประวัติศาสตร์ยังไม่ซ้ำรอย
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับวิกฤตการณ์ในอดีตอย่างยุค “Dotcom Bubble” จะพบข้อแตกต่างในเชิงปริมาณที่ชัดเจน โดยคุณประกิต ระบุว่า ในช่วงวิกฤตดอทคอม เม็ดเงินลงทุนในเทคโนโลยีพุ่งสูงถึงประมาณ 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงมาก
ในทางตรงกันข้าม สำหรับยุคปัจจุบัน เม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่การลงทุนใน AI ยังอยู่เพียงระดับ 1% ของ GDP เท่านั้น ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า ขนาดของการลงทุนยังไม่ได้ขยายตัวจนถึงขีดสุดหรืออยู่ในระดับที่อันตรายเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้น โอกาสที่ฟองสบู่จะแตกในระยะเวลาอันใกล้นี้จึงยังมีความเป็นไปได้น้อย
โครงสร้างเงินทุน กระแสเงินสด vs การก่อหนี้
ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างจากอดีต คือ “แหล่งที่มาของเงินทุน” โดยบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่กำลังขับเคลื่อน AI ในขณะนี้ ส่วนใหญ่ใช้เงินลงทุนที่มาจาก กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Operating Cash Flow) ของตนเอง ซึ่งแสดงถึงสถานะทางการเงินที่มีเสถียรภาพ
ในทางกลับกัน ความเสี่ยงจะเริ่มก่อตัวขึ้นก็ต่อเมื่อรูปแบบการลงทุนเปลี่ยนไปสู่การระดมทุนผ่านการก่อหนี้สิน (Financing) หรือการออกหุ้นกู้จำนวนมหาศาลเพื่อนำมาลงทุน หากตลาดเริ่มเห็นสัญญาณของการกู้ยืมที่เกินตัวเพื่อเก็งกำไรในโครงการที่ยังไม่เห็นผลตอบแทนชัดเจน เมื่อนั้นจึงจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเปราะบางในระบบ
สัญญาณเตือนภัย เมื่อผลลัพธ์ไม่ตอบโจทย์ความคาดหวัง
คุณประกิตได้ชี้ให้เห็นถึง “สัญญาณอันตราย” ที่นักลงทุนต้องเฝ้าระวัง ซึ่งจะบ่งบอกว่าฟองสบู่กำลังจะแตก ได้แก่
ปัจจัยทางการเมืองในยุคสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์
นอกจากปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจแล้ว บริบททางการเมืองยังมีผลต่ออายุของฟองสบู่ โดยคุณประกิต เชื่อมั่นว่า ในช่วง 4 ปีของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สถานการณ์ฟองสบู่ AI จะยังสามารถประคองตัวและ “เบ่งบาน” ต่อไปได้
เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจและการบริหารงานในยุคนี้มีแนวโน้มที่จะเอื้อต่อภาคธุรกิจและการลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นและเทคโนโลยียังคงได้รับแรงสนับสนุน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่ฟองสบู่จะแตกอาจเกิดขึ้นหลังจากสิ้นสุดยุคของทรัมป์ไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องจับตาดูต่อไป
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าเราจะกำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่ AI แต่ด้วยสัดส่วนการลงทุนต่อ GDP ที่ยังต่ำ และความแข็งแกร่งของกระแสเงินสดบริษัทเทคโนโลยี ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนทางการเมืองในระยะ 4 ปีข้างหน้า ทำให้เชื่อได้ว่าฟองสบู่นี้จะยังไม่แตกในเร็ววัน แต่นักลงทุนก็ไม่ควรประมาทและควรจับตาสัญญาณเตือนเรื่องผลประกอบการและพัฒนาการของเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด
สำหรับการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนสำหรับปี 2569 สิ่งสำคัญที่ คุณประกิต ได้เน้นย้ำไว้อย่างชัดเจน คือ ศิลปะแห่งการการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) อย่างชาญฉลาด แม้ว่าแกนหลักของพอร์ตโฟลิโอควรจะยังคงน้ำหนักไว้ที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แต่การกระจายความเสี่ยง (Diversify) ไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นอย่างเหมาะสมก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพื่อสร้างสมดุลและลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ยากจะคาดเดา ดังนี้
ทองคำกับความเสี่ยงภายใต้เเงาของสันติภาพ
หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจที่สุดสำหรับการจัดพอร์ตในปีหน้า คือ มุมมองต่อ “ทองคำ” ซึ่งโดยปกติมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) แต่คุณประกิตได้ให้ข้อคิดที่แตกต่างออกไป โดยชี้ให้เห็นว่าทองคำกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน
ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างทองคำกับหุ้น คุณประกิตจึงสรุปว่า “หุ้น” ยังคงมีแต้มต่อและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า (Better Upside) ในสถานการณ์ปัจจุบัน
น้ำมันกับภาวะซึมยาวและปัจจัยกดดันรอบด้าน
สำหรับทิศทางของราคาน้ำมัน แนวโน้มยังคงดูไม่สดใสนัก (Poor Performance) และมีโอกาสที่จะอยู่ในภาวะซึมยาวต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากปัจจัยกดดันที่หลากหลาย ทั้งในแง่ของอุปสงค์และอุปทาน
แม้ว่ากลุ่มโอเปก (OPEC) จะพยายามควบคุมกำลังการผลิต หรือมีมาตรการคว่ำบาตร (Sanction) ต่อรัสเซีย แต่ราคาน้ำมันกลับไม่ตอบสนองในทิศทางขาขึ้นเท่าที่ควร ประกอบกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเปราะบาง ทำให้เสน่ห์ของการลงทุนในน้ำมันลดน้อยลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น
หุ้นไทยกับการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสสร้าง “Passive Income”
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย คุณประกิต มองว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Fundamental) ยังไม่ได้เอื้ออำนวยให้เกิดการเติบโตที่หวือหวา (Growth) เมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขจีดีพีหรือภาคการส่งออกที่ยังคงชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตย่อมมีโอกาส สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างกระแสเงินสด การลงทุนในหุ้นไทยยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการสร้าง Passive Income ผ่านเงินปันผล โดยคุณประกิตแนะนำให้โฟกัสไปที่:
โดยสรุปแล้ว หัวใจสำคัญของการ จัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ในปี 2569 ตามคำแนะนำของ คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ คือการ “รุกในหุ้นเทคโนโลยี แต่รับในหุ้นปันผล” โดยให้น้ำหนักหุ้นเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนพอร์ต ลดน้ำหนักในสินทรัพย์โภคภัณฑ์อย่างทองคำและน้ำมันที่ทิศทางไม่ชัดเจน และใช้หุ้นไทยเป็นส่วนผสมเพื่อสร้างเสถียรภาพทางรายได้จากเงินปันผล เพื่อให้พอร์ตการลงทุนของคุณพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่กำลังจะมาถึง

บทสรุปแห่งการลงทุนสำหรับปี 2569 (2026) ไม่ใช่เพียงการวิ่งตามกระแสเทคโนโลยีอย่างหลับหูหลับตา แต่คือ การเลือกเฟ้นอย่างฉลาด ภายใต้คำแนะนำของคุณประกิต ได้อธิบายว่า แม้ธีมหลักของโลกการลงทุนจะยังคงถูกขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่กลยุทธ์ที่จะนำพาเราไปสู่เส้นชัยจำเป็นต้องมีความละเอียดอ่อนและมองให้ลึกซึ้งกว่าเดิม ดังนี้
หุ้นสหรัฐอเมริกา เลือก “ของดี” ในราคาที่ “คุ้มค่า”
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเปรียบเสมือนหัวจักรสำคัญของเทคโนโลยีโลก กลยุทธ์สำคัญ คือ การมองหาหุ้นที่มีมูลค่า (Valuation) สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ของตนเอง แทนที่จะไล่ตามหุ้นที่ราคาพุ่งสูงจนตึงตัว เราควรมองหาหุ้นระดับโลกอย่าง Microsoft หรือ Amazon ที่ระดับราคาปัจจุบันถือว่ายัง “ถูก” เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต (Percentile) การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้เปรียบเสมือนการซื้อความมั่นคงในราคาที่จับต้องได้ เพื่อรอรับผลตอบแทนจากการเติบโตรอบใหม่
หุ้นเอเชีย ขุมพลังแห่งการเติบโตใหม่
ในทางกลับกัน หากเป้าหมายของคุณ คือ การเติบโตที่หวือหวา (High Growth) ปี 2569 คือปีทองของฝั่งเอเชีย เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่เพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่รอบการลงทุนเทคโนโลยีอย่างจริงจัง โดยมีดาวเด่นที่น่าจับตามอง ได้แก่:
กระจายความเสี่ยงสู่ “รากฐาน” ของ AI
นอกจากหุ้นเทคโนโลยีโดยตรงแล้ว การกระจายเงินลงทุนไปยังอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องหรือ “โครงสร้างพื้นฐาน” ก็เป็นเกราะป้องกันพอร์ตที่ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) หรือกลุ่มโรงไฟฟ้าและพลังงาน (Power) ที่จำเป็นต้องรองรับการประมวลผลของ AI ที่เพิ่มขึ้น การลงทุนในกลุ่มนี้จะช่วยลดความผันผวนและสร้างสมดุลให้กับพอร์ตของคุณได้อย่างยั่งยืน
หลีกเลี่ยงหลุมพรางและสินทรัพย์เสี่ยง
สุดท้ายนี้ การบริหารความเสี่ยง คือ หัวใจสำคัญ คุณประกิตแนะนำให้หลีกเลี่ยงหรือลดน้ำหนักในสินทรัพย์ที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เอื้ออำนวย เช่น น้ำมัน ที่มีแนวโน้มซึมยาว หรือ ทองคำ ที่มีความเสี่ยงสูงหากสถานการณ์ความขัดแย้งคลี่คลาย ส่วนหุ้นไทยนั้น ให้จัดวางไว้ในส่วนของการสร้างกระแสเงินสด (Passive Income) จากเงินปันผล โดยเน้นหุ้นที่มีเสถียรภาพ แต่ไม่ควรคาดหวังการเติบโตของราคาที่สูงนัก
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าความกังวลเรื่องฟองสบู่จะยังคงมีอยู่ แต่ตราบใดที่เม็ดเงินลงทุนยังมาจากกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและอยู่ภายใต้บรรยากาศทางเศรษฐกิจในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ เชื่อว่าตลาดหุ้นเทคโนโลยีจะยังคงเป็นขุมทรัพย์ที่น่าลงทุน เพียงแต่นักลงทุนต้องรู้จักผสมผสานระหว่าง “ความคุ้มค่า” ในฝั่งตะวันตก และ “การเติบโต” ในฝั่งตะวันออก ให้ลงตัว เพื่อสร้างพอร์ตที่แข็งแกร่งพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายในปี 2569
| กลุ่มเป้าหมาย / ภูมิภาค | กลยุทธ์การลงทุนหลัก ปี 2569 (2026) | หุ้นเด่น / ธีมที่ควรมองหา |
| หุ้นเทคฯ สหรัฐฯ(หัวจักรสำคัญของโลก) | เน้น “ของดี ราคาคุ้มค่า”มองหาหุ้นที่มูลค่า (Valuation) สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับอดีต ไม่ไล่ราคาที่สูงจนตึงตัว | ▪️ Microsoft▪️ Amazon(ระดับราคาปัจจุบันถือว่ายัง “ถูก” เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต) |
| หุ้นเอเชีย(ขุมพลังการเติบโตใหม่) | เน้น “การเติบโตสูง (High Growth)”เป็นปีทองของเอเชียที่เพิ่งเข้าสู่รอบการลงทุนเทคโนโลยีอย่างจริงจัง | ▪️ เกาหลีใต้: Samsung (ซุ่มทำ AI บนมือถือ) ▪️ อินเดีย: เร่งเครื่องเศรษฐกิจและเทคฯ โตโดดเด่น ▪️ จีน: Tencent, Alibaba (พื้นฐานดี ราคายังไม่สูง) |
| โครงสร้างพื้นฐาน AI(เกราะป้องกันพอร์ต) | กระจายความเสี่ยงสู่ “รากฐาน”ลงทุนในอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องรองรับการประมวลผลของ AI ที่เพิ่มขึ้น เพื่อลดความผันผวน | ▪️ กลุ่มความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ▪️ กลุ่มโรงไฟฟ้าและพลังงาน (Power) |
| หุ้นไทย(สร้างกระแสเงินสด) | เน้น “Passive Income”ลงทุนเพื่อรับเงินปันผล หวังเสถียรภาพ แต่ไม่ควรคาดหวังการเติบโตของราคาที่สูงนัก | ▪️ หุ้นที่มีเสถียรภาพ เน้นจ่ายปันผลสม่ำเสมอ |
| สินทรัพย์ที่ควรเลี่ยง/ลด | หลีกเลี่ยงหลุมพรางลดน้ำหนักในสินทรัพย์ที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เอื้ออำนวยหรือมีความเสี่ยงสูง | ▪️ น้ำมัน: แนวโน้มซึมยาว ▪️ ทองคำ: เสี่ยงสูงหากความขัดแย้งคลี่คลาย |
อ้างอิงจาก F1 Money