
ตลาดการลงทุนทั่วโลกกำลังจับตามองการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (Fed) ในช่วงส่งท้ายปีอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางคำถามสำคัญว่าทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยและหุ้นโลกมากน้อยแค่ไหน บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกมุมมองและกลยุทธ์การลงทุนจาก คุณทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ FSSIA ที่ได้ให้สัมภาษณ์ไว้อย่างละเอียดในรายการ F1 Money เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับโอกาสและความท้าทาย เมื่อโลกการเงินกำลังเข้าสู่โหมด “Risk On” อีกครั้ง

เปิดโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 80% เดิมพันครั้งใหญ่ส่งท้ายปี จากการสำรวจข้อมูลล่าสุดโดย CME Group ตลาดให้ความมั่นใจสูงถึงประมาณ 80% ว่าเฟดจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% (25 Basis Points) ในการประชุมเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยสัญญาณความเชื่อมั่นนี้ได้รับการตอกย้ำจากท่าทีของประธานเฟดสาขาต่างๆ รวมถึงเจอโรม พาวเวลล์ ที่เริ่มส่งสัญญาณว่ายังมีช่องว่าง (Room) ให้สามารถปรับลดดอกเบี้ยลงได้
ปัจจัยสำคัญที่บีบให้เฟดต้องพิจารณาการลดดอกเบี้ย ไม่ได้ดูเพียงแค่ตัวเลขเงินเฟ้ออีกต่อไป แต่กลับเป็น “อัตราการว่างงาน” ที่พุ่งขึ้นมาแตะระดับ 4% ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา แม้ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm Payrolls) จะดูแข็งแกร่ง แต่เทรนด์การว่างงานที่สูงขึ้นต่อเนื่องนี้ เป็นสัญญาณเตือนภัยที่เฟดกังวลว่าจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในระยะกลางถึงยาวได้ หากไม่รีบผ่อนคลายนโยบายการเงิน

คุณทรงกลด ได้สะท้อนมุมมองที่น่าสนใจไว้ว่า แม้ภาพรวมของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในปัจจุบันจะมีระดับราคาที่ค่อนข้างสูงจนเข้าข่ายลักษณะของ “ฟองสบู่” แต่ทว่าฟองสบู่นี้ยังไม่มีแนวโน้มที่จะแตกสลายลงในระยะเวลาอันใกล้ ในทางตรงกันข้าม กลับมีปัจจัยพื้นฐานและเม็ดเงินลงทุนที่พร้อมจะผลักดันให้ฟองสบู่นี้ “ขยายตัวใหญ่ขึ้น” ต่อไปได้ ด้วยเหตุผลสำคัญ 3 ประการ ดังนี้
ประการแรก คุณทรงกลด ได้ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการบริหารจัดการเงินทุนของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ (Big Tech) หรือกลุ่ม 7 นางฟ้า (Magnificent Seven) ว่าปัจจุบันบริษัทเหล่านี้กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ คือ “Investment Phase” หรือเฟสของการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ในอดีต บริษัทเหล่านี้อาจใช้กระแสเงินสดภายในกิจการเพื่อการลงทุน แต่ด้วยความต้องการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่มีขนาดมหาศาล ทำให้มีความจำเป็นต้องระดมทุนผ่านการกู้ยืมเงินเพิ่มเติม ดังนั้น หากเฟดดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจริงตามคาดการณ์ จะกลายเป็นปัจจัยบวกโดยตรงที่ช่วยลด “ต้นทุนทางการเงิน” ของบริษัทเหล่านี้ ทำให้มีความสามารถในการกู้ยืมเพื่อนำมาขยายกิจการรองรับการเติบโตได้คล่องตัวยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ฟองสบู่รอบนี้มีความแตกต่างจากวิกฤตดอทคอมในอดีต คือ พื้นฐานความต้องการใช้งานที่เป็นของจริง หรือ “Real Demand” โดยคุณทรงกลดระบุว่า โลกกำลังเผชิญกับภาวะ “Super Demand” ในด้านเทคโนโลยี AI และ Data Center
ความต้องการนี้ไม่ใช่เพียงกระแสชั่วคราว แต่เป็นความจำเป็นของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั่วโลกที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อรองรับปริมาณข้อมูลมหาศาล ส่งผลให้ผู้ให้บริการเทคโนโลยีจำเป็นต้องเร่งขยายขีดความสามารถ อย่างเร่งด่วน การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นจึงมีปัจจัยพื้นฐานด้านการเติบโตของรายได้และการลงทุนรองรับอยู่ ไม่ใช่การเก็งกำไรบนความว่างเปล่าเสียทีเดียว
นอกจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว คุณทรงกลด ยังได้วิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของตลาดหุ้นที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากระยะการเติบโต เข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “Speculative Mode” หรือโหมดการเก็งกำไรเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นธรรมชาติของวงจรตลาดเมื่อนักลงทุนรับรู้ถึงศักยภาพการเติบโตไประดับหนึ่งแล้ว
ในระยะนี้ ตลาดมักจะให้มูลค่ากับความคาดหวังในอนาคตสูงกว่าปกติ คล้ายคลึงกับวัฏจักรของราคาทองคำที่เมื่อผ่านจุดสูงสุดของปัจจัยพื้นฐานมาแล้ว ก็จะเข้าสู่ช่วงของการเก็งกำไรต่อ ดังนั้น การลดดอกเบี้ยจะเป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่เติมเข้าสู่ระบบ ทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นเทคโนโลยีมากขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นไปได้อีก แม้ว่าระดับมูลค่า จะตึงตัวแล้วก็ตาม

ในขณะที่สหรัฐฯ บูมเรื่อง AI ประเทศไทยก็ได้รับอานิสงส์จากการเข้ามาลงทุนสร้าง Data Center คุณทรงกลด เล่าว่า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทยมีมูลค่ารวมสูงถึงประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท โดยสิ่งที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ คือ เม็ดเงินกว่า 6 แสนล้านบาท หรือเกือบครึ่งหนึ่งของยอดการลงทุนทั้งหมดนั้น เป็นการลงทุนในกลุ่ม Data Center ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ
แม้ว่าหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมอย่าง WHA หรือ AMATA จะได้รับประโยชน์จากการขายที่ดินให้กับผู้ประกอบการ Data Center ก็ตาม แต่คุณทรงกลดได้ให้มุมมองเชิงลึกว่า การมองเพียงแค่ยอดขายที่ดินอาจเป็นการมองภาพที่ฉาบฉวยเกินไป เนื่องจากธรรมชาติของธุรกิจ Data Center ไม่ได้ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่โตมโหฬารเหมือนโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป แต่อาจใช้พื้นที่เพียงตึกไม่กี่ชั้นเท่านั้น
ทว่า ปัจจัยที่สำคัญที่สุดกลับเป็น “ระบบสาธารณูปโภค” โดยเฉพาะ น้ำและไฟฟ้า ข้อมูลระบุชัดเจนว่า Data Center เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำในระบบหล่อเย็นมากกว่าอุตสาหกรรมปกติถึง 10 เท่า ดังนั้น ผู้ที่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงและยั่งยืนในระยะยาว จึงไม่ใช่เพียงผู้ขายที่ดิน แต่คือผู้ให้บริการน้ำและไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพรองรับความต้องการมหาศาลนี้ได้
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยข้างต้น หุ้นที่ดำเนินธุรกิจสาธารณูปโภคภายในนิคมอุตสาหกรรมจึงมีความโดดเด่นขึ้นมาทันที อาทิ WHAUP ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจำหน่ายน้ำและไฟฟ้าให้กับลูกค้าในนิคมฯ ย่อมได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการเข้ามาตั้งฐานของ Data Center เพราะไม่ว่าโรงงานจะตั้งอยู่ที่ใด ก็จำเป็นต้องใช้น้ำและไฟจากผู้ให้บริการรายนี้
นอกจากนี้ ในแง่ของความพร้อมด้านพลังงาน ประเทศไทยถือว่ามีความได้เปรียบเนื่องจากมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) อยู่ในระดับสูง โดยมีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าไว้ประมาณ 50,000 เมกะวัตต์ ในขณะที่ยอดการใช้งานจริงอยู่ที่ประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ ทำให้มีไฟฟ้าเพียงพอที่จะรองรับการขยายตัวของ Data Center ได้ทันที
นอกเหนือจากการเป็นผู้สนับสนุนด้านพลังงานแล้ว ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าบางรายได้ยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นผู้ลงทุนโดยตรง เช่น GULF ที่ได้จับมือร่วมกับพันธมิตรอย่าง AIS และ Singtel ในการพัฒนา Data Center ของตนเอง ซึ่งปัจจุบันเริ่มดำเนินการในเฟสแรกขนาด 25 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายเฟสต่อเนื่อง ถือเป็นการเปิดน่านน้ำธุรกิจใหม่ที่สอดคล้องกับเทรนด์โลก
ในส่วนของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ DELTA ยังคงเป็นหุ้นยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของเทคโนโลยีระดับโลก แม้ว่าในมุมมองของการประเมินมูลค่า (Valuation) ราคาหุ้นอาจดูค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มเทคโนโลยีในต่างประเทศ โดยมีค่า P/E (Price-to-Earnings Ratio) ที่สูงถึงระดับ 70 เท่า หรืออาจแตะ 100 เท่า
อย่างไรก็ตาม คุณทรงกลด มองว่า ด้วยปัจจัยเฉพาะตัวด้านสภาพคล่อง (Free Float) ที่ต่ำ ประกอบกับการเป็นซัพพลายเออร์ให้กับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ทำให้ราคายังสามารถทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้ และยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเกาะกระแสการเติบโตของ AI และ Data Center ในตลาดหุ้นไทย
ในขณะที่กระดานหุ้นทั่วโลกถูกฉาบด้วยสีเขียวจากกระแสความร้อนแรงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี จนทำให้นักลงทุนหลายท่านอาจเผลอมองข้ามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แท้จริงไป แต่ทว่า หากพิจารณาลึกลงไปในรายละเอียดของ “ภาคการผลิตจริง” กลับพบสัญญาณความเปราะบางที่น่ากังวล คุณทรงกลด ได้สะท้อนมุมมองประเด็นเรื่องภาวะอุปทานล้นตลาด หรือ “Oversupply” ที่กำลังกลายเป็นคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่ที่กระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก
จากโรงงานโลกสู่ภาวะ “ของล้น” ในทุกอุตสาหกรรม
ประเด็นสำคัญที่คุณทรงกลดได้ชี้ให้เห็น คือ ต้นตอของปัญหา Oversupply ในปัจจุบัน ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศจีน โดยจะเห็นได้ว่าในขณะนี้ จีนกำลังเผชิญกับภาวะสินค้าล้นตลาดในเกือบทุกภาคอุตสาหกรรม แม้แต่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เองยังต้องมีนโยบายเพื่อลดกำลังการผลิตส่วนเกิน ภายในประเทศ และพยายามระบายสินค้าออกสู่ตลาดต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม เมื่อกำแพงภาษีจากฝั่งสหรัฐอเมริกาทำให้การส่งออกทำได้ยากขึ้น จีนจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนทิศทางการระบายสินค้า โดยเบนเข็มมายังภูมิภาคอาเซียน เอเชีย และยุโรปแทน ซึ่งส่งผลให้ตลาดเหล่านี้ต้องรองรับปริมาณสินค้ามหาศาลที่ไหลบ่าเข้ามา
เจาะลึก 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เผชิญวิกฤตล้นตลาด
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น คุณทรงกลดได้ยกตัวอย่างกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก ดังนี้:
เมื่อกำลังซื้อไม่สอดรับกับปริมาณสินค้า
ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยเองก็ได้รับแรงกระแทกจากคลื่น Oversupply นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาคธุรกิจปิโตรเคมีและยานยนต์ของไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแข่งขันกับสินค้าจีนและภาวะราคตกต่ำ
ยิ่งไปกว่านั้น ภาคธุรกิจค้าปลีกในประเทศก็เริ่มส่งสัญญาณของการอิ่มตัว คุณทรงกลดได้เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า แม้ร้านสะดวกซื้อจะมีสาขามากมายและบริการดีเพียงใด แต่ขีดจำกัดในการบริโภคของคนเรามีจำกัด (เช่น ไม่สามารถรับประทานอาหารได้เกินวันละ 6 มื้อ) เมื่อผนวกกับกำลังซื้อภายในประเทศที่ไม่เติบโต ทำให้ภาพรวมของตลาดค้าปลีกเต็มไปด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดในเค้กก้อนเดิมที่ไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้น

สำหรับตลาดหุ้นไทยในภาพรวม ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังไม่เอื้ออำนวยให้เห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไม่เติบโต สะท้อนว่าภาคธุรกิจไม่มีการขยายการลงทุนใหม่ จากคำบอกเล่าของ คุณทรงกลด ที่วิเคราะห์ โครงสร้างตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบไปสู่สถานะ “Dividend Play” หรือตลาดที่เน้นการลงทุนเพื่อรับเงินปันผลอย่างเต็มตัว
เมื่อเครื่องยนต์เศรษฐกิจดับ สัญญาณเตือนจากยอดสินเชื่อ
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยได้ชัดเจนที่สุด คือตัวเลขการเติบโตของสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ จากข้อมูลพบว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่แทบไม่มีการขยายตัว หรือในบางกรณีอาจถึงขั้นหดตัวลง
สถานการณ์ดังกล่าว บ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจไม่มีความต้องการเม็ดเงินเพื่อไปลงทุนขยายกิจการใหม่ หรือในอีกมุมหนึ่ง คือ ธนาคารเองก็มีความระมัดระวังในการปล่อยกู้เนื่องจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ เมื่อไม่มีการลงทุนเพิ่ม การเติบโตแบบก้าวกระโดด ของบริษัทจดทะเบียนไทยจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากในเวลานี้
กลยุทธ์ Dividend Play ทำไม “กลุ่มธนาคาร” ถึงเป็นทางรอด
ดังนั้น ภายใต้สภาวะที่ตลาดขาดการเติบโต นักลงทุนจำเป็นต้องเปลี่ยนจุดโฟกัสมาที่ผลตอบแทนในรูปแบบกระแสเงินสด หรือ เงินปันผล แทน ซึ่งคุณทรงกลดมองว่า “กลุ่มธนาคารพาณิชย์” คือตัวเลือกที่โดดเด่นและปลอดภัยที่สุดในขณะนี้ ด้วยเหตุผลสำคัญ ดังนี้
ความเสี่ยงในความแพง : จับตา “ค้าปลีกและโรงพยาบาล”
ในทางกลับกัน คุณทรงกลดได้ให้ข้อสังเกตที่ควรระวังสำหรับหุ้นในกลุ่มที่มีพื้นฐานดีแต่ราคาแพง อย่างกลุ่ม “ค้าปลีก” และ “โรงพยาบาล”
ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจัดพอร์ตหุ้นไทยในช่วงเวลานี้ การยึดหลักการ “Defense” หรือการตั้งรับด้วยกลยุทธ์ Dividend Play ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด โดยการเลือกลงทุนในหุ้นที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่งและจ่ายปันผลสูงอย่างกลุ่มธนาคาร จะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับพอร์ตการลงทุน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาคที่ยังคงไร้ทิศทางที่ชัดเจน
สำหรับโอกาสและความเป็นไปได้ที่น่าสนใจ เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย และกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) ที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของดัชนีตลาดหุ้นไทย
ลุ้น กนง. ลดดอกเบี้ยเพื่อประคองเศรษฐกิจ
คุณทรงกลด ระบุว่า เมื่อพิจารณาจากปัจจัยภายในประเทศ คุณทรงกลดมองว่ายังมี “ช่องว่าง” (Room) เพียงพอที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมส่งท้ายปีช่วงเดือนธันวาคมนี้
สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดมุมมองดังกล่าว มาจากความกังวลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม ซึ่งสร้างความเสียหายต่อวงกว้าง ประกอบกับความล่าช้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการดิจิทัลวอลเล็ตหรือโครงการคนละครึ่ง ที่อาจออกมาไม่ทันการณ์เพื่อช่วยพยุงกำลังซื้อในช่วงที่เหลือของปี
ดังนั้น การใช้นโยบายการเงินผ่านการลดดอกเบี้ย จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดในขณะนี้ เพื่อช่วยอัดฉีดสภาพคล่องและประคองเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวลงไปมากกว่าเดิม
ปัจจัยภายนอก อานิสงส์จากเฟดและทิศทางค่าเงินดอลลาร์
ในขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอกประเทศก็เริ่มส่งสัญญาณบวกที่สอดคล้องกัน โดยหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจริงตามที่ตลาดคาดการณ์ ย่อมส่งผลโดยตรงให้ผลตอบแทนจากการถือครองสกุลเงินดอลลาร์ลดความน่าสนใจลง และนำไปสู่การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ในที่สุด
สถานการณ์เช่นนี้ จะเป็นกลไกสำคัญที่กระตุ้นให้เม็ดเงินลงทุน (Fund Flow) ไหลออกจากสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในภูมิภาคอื่น ซึ่งตลาดเกิดใหม่ รวมถึง “ตลาดหุ้นไทย” มีโอกาสสูงที่จะได้รับอานิสงส์จากกระแสเงินทุนไหลเข้านี้
เป้าหมายดัชนี แรงส่งสู่ระดับ 1,300 จุด
นอกจากนี้ คุณทรงกลด ยังได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบเชิงปริมาณจากการลดดอกเบี้ยไว้อย่างน่าสนใจว่า โดยปกติแล้วการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงทุกๆ 0.25% จะส่งผลบวกต่อการประเมินมูลค่าตลาด (Valuation) คิดเป็นส่วนต่างของดัชนีที่ควรปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 40 ถึง 50 จุด
ดังนั้น หากปัจจัยสนับสนุนทั้งสองส่วนทำงานสอดประสานกัน ทั้งการตัดสินใจลดดอกเบี้ยของ กนง. เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน และแรงหนุนจาก Fund Flow ที่ไหลกลับเข้ามาจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ เราอาจได้เห็นดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ฟื้นตัวกลับขึ้นไปยืนเหนือระดับจิตวิทยาที่ 1,300 จุด ได้อีกครั้ง ซึ่งถือเป็นแสงสว่างที่นักลงทุนต่างรอคอยในช่วงปลายปีนี้

จากการวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดย คุณทรงกลด ได้นำไปสู่บทสรุปที่สำคัญยิ่งสำหรับนักลงทุน เมื่อตลาดกำลังจะก้าวเข้าสู่สภาวะเปิดรับความเสี่ยง หรือ “Risk On” อีกครั้ง ท่ามกลางความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
อย่างไรก็ตาม ภายใต้บรรยากาศที่ดูสดใสของตลาดหุ้นเทคโนโลยี ยังคงมี “คลื่นใต้น้ำ” และความเสี่ยงระดับโครงสร้างที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การจัดพอร์ตลงทุนเป็นไปอย่างเท่าทันสถานการณ์ ดังนี้
1. ฟองสบู่เทคโนโลยี ไม่แตก แต่จะ “ขยายตัว” ด้วยแรงหนุนดอกเบี้ยขาลง
ในเบื้องต้น คุณทรงกลด ประเมินว่า หากเฟดดำเนินการลดดอกเบี้ยจริง จะเป็นแรงส่งสำคัญให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ที่มีลักษณะเป็นฟองสบู่อยู่แล้ว “ขยายตัวใหญ่ขึ้น” โดยไม่แตกสลายลงในระยะอันใกล้ เนื่องจากดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ที่กำลังอยู่ในเฟสของการเร่งกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รองรับดีมานด์มหาศาลจากทั่วโลก
2. สัญญาณเตือนภัย : เมื่อดอกเบี้ยลด “เร็วและแรง” คือลางร้าย
ในทางกลับกัน เหรียญย่อมมีสองด้าน คุณทรงกลดได้ให้ข้อคิดที่นักลงทุนต้องระมัดระวังอย่างยิ่งคือ “จังหวะและความเร็ว” ของการลดดอกเบี้ย หากในอนาคตเราเห็นเฟดหรือธนาคารกลางต่างๆ จำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง นั่นอาจไม่ใช่ข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นเสมอไป
เพราะการกระทำดังกล่าว มักเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังเผชิญกับวิกฤต หรือกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย อย่างรุนแรง จนธนาคารกลางต้องรีบใช้นโยบายการเงินเข้าช่วยพยุง ซึ่งในสถานการณ์เช่นนั้น ตลาดหุ้นมักจะได้รับผลกระทบเชิงลบมากกว่าเชิงบวก
3. ระเบิดเวลาลูกใหญ่ ตลาดพันธบัตรและอนุพันธ์ซับซ้อน
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงเชิงระบบที่ซ่อนอยู่ใน “ตลาดพันธบัตร” ซึ่งเป็นแหล่งที่พักของเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล หากอัตราดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างผันผวน อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าของพันธบัตรและลุกลามไปสู่ความเสียหายในวงกว้าง
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่น่ากังวลกว่า คือ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความซับซ้อน หรือ “อนุพันธ์” ซึ่งมีลักษณะการขายพ่วงต่อกันเป็นทอดๆ หากสินทรัพย์อ้างอิงตัวใดตัวหนึ่งเกิดสะดุดหรือผิดนัดชำระหนี้ อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินและระบบเศรษฐกิจได้ ซึ่งเป็นบทเรียนที่นักลงทุนตระหนักดีจากวิกฤตการณ์ในอดีต
รุกในเทคโนโลยี รับในหุ้นปันผล
กล่าวโดยสรุป กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมที่สุดในสภาวะที่เต็มไปด้วยโอกาสและความเปราะบางนี้ คือการผสมผสาน ระหว่างการเก็งกำไรและการสร้างเกราะป้องกัน ดังนี้
การจัดทัพลงทุนเช่นนี้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตักตวงผลกำไรจากกระแส Risk On ของโลกได้ ในขณะเดียวกันก็ยังมีหลักประกันที่มั่นคงจากหุ้นปันผล พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ตารางสรุป ทิศทางการลงทุน Risk On: ฟองสบู่เทคโนโลยี vs สัญญาณเตือนภัย
| ประเด็นหลัก | รายละเอียดเชิงลึก | ผลกระทบ/กลยุทธ์ | สัญญาณเฝ้าระวัง |
| ฟองสบู่เทคโนโลยี | ดอกเบี้ยเฟดลดช่วยลดต้นทุนกู้ยืม บริษัท AI ยักษ์ใหญ่เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรับดีมานด์โลก | รุกเก็งกำไรหุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศ (AI stocks) ตามเทรนด์โลก | ฟองสบู่ขยายใหญ่แต่ไม่แตกในระยะใกล้ |
| สัญญาณเตือนภัยดอกเบี้ย | ลดดอกเบี้ย “เร็วและแรง” บ่งชี้เศรษฐกิจวิกฤต/ถดถอย ธนาคารกลางรีบพยุง | ตลาดหุ้นกระทบลบ หลีกเลี่ยงถือยาว | เฟดลดเกิน 0.5% ต่อครั้ง = ลางร้าย |
| ระเบิดเวลาพันธบัตร | ดอกเบี้ยผันผวนกระทบมูลค่าพันธบัตร ลุกลามระบบการเงิน | เงินลงทุนไหลออกจาก bond market | ติดตาม yield curve inversion |
| อนุพันธ์ซับซ้อน | สินทรัพย์เชื่อมโยงกัน หากผิดนัดชำระเกิดลูกโซ่กระทบสถาบันการเงิน | หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ complex derivatives | บทเรียนวิกฤต 2008 ซ้ำรอย |
| กลยุทธ์ผสมผสาน | ส่วนเก็งกำไร: หุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศส่วนป้องกัน: หุ้นไทยธนาคาร/ปันผลสม่ำเสมอ | จัดพอร์ต 50:50 สมดุล Risk On + Dividend Play | หุ้นธนาคารไทย ROE >15% จ่ายปันผล >4% |
อ้างอิงจาก F1 Money