
ในโลกยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง หลายคนมุ่งเป้าไปที่การสร้างความมั่งคั่งทางการเงินจนอาจหลงลืมสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด นั่นคือ “คุณภาพชีวิต” ของตนเอง หากเราลองปรับมุมมองโดยสวมวิญญาณนักลงทุนมืออาชีพ เราจะพบว่าการบริหารชีวิตก็ไม่ต่างจากการบริหารพอร์ตการลงทุนที่ต้องการความสมดุล การทุ่มเททรัพยากรที่มีจำกัดอย่าง “เวลา” และ “พลังงาน” ลงไปในสิ่งที่ถูกต้อง จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดในระยะยาว

คอลัมน์นี้นี้มุ่งนำเสนอและชวนผู้อ่านสำรวจลึกลงไปในแนวคิด “Live Invested” ซึ่งเป็นมุมมองการใช้ชีวิตที่ก้าวข้ามกรอบความคิดเดิมๆ ที่มักจำกัดคำว่า “การลงทุน” ไว้เพียงเรื่องของตัวเลขในบัญชีธนาคาร แต่ในความเป็นจริงแล้ว การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดครอบคลุมถึงมิติที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก นั่นคือ การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของมนุษย์เพื่อให้เกิดผลงอกเงยในระยะยาว
การตระหนักรู้ใน “ต้นทุนเวลา” (Time Cost)
รากฐานสำคัญประการแรกก่อนที่จะเริ่มจัดสรรการลงทุนใดๆ คือการประเมิน “หน้าตัก” หรือต้นทุนที่เรามีอยู่จริง สำหรับการลงทุนชีวิต ต้นทุนนั้นมิใช่เงินตรา แต่คือ “เวลา”
ในทางเศรษฐศาสตร์และปรัชญาการใช้ชีวิต เวลาถือเป็นสินทรัพย์ประเภทพิเศษที่มีความจำกัดอย่างยิ่งยวด (Scarcity) และมีลักษณะเฉพาะตัว คือ ไม่สามารถหาทดแทนหรือเรียกคืนได้ (Irretrievable) การทำความเข้าใจมูลค่าที่แท้จริงของเวลาจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่อาจละเลย
เพื่อให้เห็นภาพต้นทุนนี้ชัดเจนขึ้น เราจำเป็นต้องแปลงหน่วยเวลาที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ หากอ้างอิงข้อมูลทางสถิติจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ระบุว่าปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ยของประชากรไทยอยู่ที่ประมาณ 78 ปี
เมื่อเรานำตัวเลขอายุขัยเฉลี่ยดังกล่าวมาคำนวณเพื่อหา “ต้นทุนเวลา” ที่แท้จริง จะพบข้อเท็จจริงที่น่าตระหนักว่า มนุษย์เรามีเวลาโดยเฉลี่ยบนโลกนี้เพียงประมาณ 28,470 วัน เท่านั้น
ตัวเลขสองหมื่นกว่าวันนี้ หากมองอย่างผิวเผินอาจดูเหมือนมาก แต่ในความเป็นจริง มันคือสินทรัพย์ที่กำลัง “เสื่อมค่าลง” (Depreciate) ในทุกขณะที่เข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้า ทุกครั้งที่เราตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ นั่นหมายความว่าต้นทุนของเราได้ลดน้อยลงไปอีกหนึ่งหน่วยแล้ว
ดังนั้น ตัวเลข 28,470 วัน จึงมิใช่เพียงข้อมูลทางสถิติ แต่เป็นเครื่องเตือนใจที่ทรงพลัง มันนำไปสู่การตั้งคำถามเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกคนว่า ในเมื่อเรามีต้นทุนที่จำกัดเพียงเท่านี้ เราจะเลือกบริหารจัดการมันอย่างไร?
เราจะปล่อยให้ต้นทุนเวลานี้หมดไปตามยถากรรมโดยไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม หรือจะเริ่ม “จัดสรร” อย่างชาญฉลาดเพื่อลงทุนในสิ่งที่สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ความรู้ หรือความสัมพันธ์ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกวันที่ผ่านไปคือการสร้างกำไรให้กับคุณภาพชีวิตในระยะยาวอย่างแท้จริง
เพื่อให้พอร์ตชีวิตเติบโตอย่างมั่นคง เราจำเป็นต้องกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ไม่ต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้น โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ด้านหลักดังนี้:
1. Invest in Health: สร้างฐานทุนที่แข็งแกร่งด้วยสุขภาพ สุขภาพคือรากฐานของทุกความสำเร็จ หากร่างกายทรุดโทรม สินทรัพย์อื่นๆ ก็แทบไร้ความหมาย การลงทุนในสุขภาพจึงเป็น Priority แรกที่ไม่อาจละเลย องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า เพียงแค่เราออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ก็สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 30%
ลองจินตนาการว่านี่คือการจ่ายเบี้ยประกันราคาถูกที่ให้ความคุ้มครองมหาศาล เพียงแค่แบ่งเวลาวันละนิดเพื่อดูแลตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้คือร่างกายที่พร้อมสำหรับทุกความท้าทายและพลังงานในการใช้ชีวิตที่เพิ่มขึ้น
2. Invest in Mind: ดอกเบี้ยทบต้นทางปัญญา ในโลกที่ความรู้เก่าหมดอายุอย่างรวดเร็ว การลงทุนในความคิดและการเรียนรู้ (Invest in Mind) คือเครื่องมือสร้างความได้เปรียบที่ดีที่สุด การมี Mindset ที่มองการณ์ไกลและพร้อมเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสำคัญ
งานวิจัยระดับโลกอย่าง Harvard Grant Study ซึ่งติดตามชีวิตของผู้คนมายาวนานกว่า 80 ปี ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขของมนุษย์เรานั้น ไม่ใช่เงินทอง แต่เป็น “ความสัมพันธ์ที่ดี” และ “การเรียนรู้” ซึ่งส่งผลให้คนเรามีความสุขมากกว่าความมั่งคั่งทางการเงินถึง 3 เท่า การลงทุนอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม หรือการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ จึงเป็นการสะสมแต้มต่อทางปัญญาที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้คุณไปตลอดชีวิต
3. Invest in Relationships: ปันผลทางความรู้สึก มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการการเชื่อมโยง การละเลยคนรอบข้างเพื่อมุ่งเน้นแต่ความสำเร็จส่วนตัวอาจทำให้พอร์ตชีวิตขาดสมดุล ข้อมูลจาก Gallup Poll ชี้ให้เห็นพลังของความสัมพันธ์ว่า ผู้ที่มีเพื่อนสนิทอย่างน้อย 3 คน มีโอกาสที่จะมีความสุขเพิ่มขึ้นถึง 50%
การลงทุนในส่วนนี้ไม่ต้องใช้เงินมหาศาล เพียงแค่ “เวลา” และ “ความใส่ใจ” เช่น การโทรหาเพื่อนเก่า หรือการใช้เวลาคุณภาพกับครอบครัว สิ่งเหล่านี้คือการเติมเต็มถังพลังงานทางใจ ช่วยลดความเครียด และสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจที่ดีเยี่ยม
4. Invest in Future & Freedom: ออกแบบอิสรภาพในวันข้างหน้า ท้ายที่สุด การลงทุนที่ดีต้องมองไปถึงอนาคต (Invest in Future) เพื่อสร้างทางเลือกและอิสรภาพในการใช้ชีวิต (Invest in Freedom) ที่แท้จริง ยุคนี้ความมั่นคงไม่ได้มาจากการทำงานที่เดียวตลอดชีวิตอีกต่อไป แต่มาจากการมีทักษะที่ตลาดต้องการ
ทาง World Economic Forum ได้คาดการณ์แนวโน้มที่น่าสนใจว่า การเรียนรู้ทักษะดิจิทัลในวันนี้ สามารถเพิ่มโอกาสในการรับงานอิสระหรือฟรีแลนซ์ได้ถึง 40% ในอีก 5 ปีข้างหน้า นี่คือการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงในหน้าที่การงาน และเปิดประตูสู่อิสรภาพในการเลือกวิถีชีวิตของตัวเองในอนาคต
จากการสำรวจแนวคิด Live Invested และการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ทั้ง 4 มิติข้างต้น นำไปสู่บทสรุปที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง นั่นคือ การบริหารจัดการพอร์ตชีวิตนั้น ไม่มี “สูตรสำเร็จตายตัว” (One-size-fits-all solution) ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับทุกคนได้อย่างเท่าเทียมกัน
เฉกเช่นเดียวกับการลงทุนทางการเงินที่นักลงทุนแต่ละรายต่างมีระดับความสามารถในการรับความเสี่ยง (Risk Appetite) เป้าหมาย และเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน การออกแบบพอร์ตชีวิตก็จำเป็นต้องคำนึงถึงบริบทเฉพาะบุคคล (Individual Context) ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัย ความรับผิดชอบ หรือความฝันที่แตกต่างกันออกไป
อย่างไรก็ตาม แม้รูปแบบของพอร์ตจะแตกต่างกันไปในรายละเอียด แต่หัวใจสำคัญที่ Live Invested เชื่อมั่นว่าเป็นสากล คือ “การตระหนักรู้” (Awareness) และการเริ่มต้นลงมือทำในทันที
การตระหนักว่าเวลาคือทรัพยากรที่กำลังหมดไป จะเป็นแรงผลักดันให้เราเริ่มหันกลับมาทบทวนและจัดลำดับความสำคัญใหม่ โดยเริ่ม “ทุ่มเท” ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดลงไปในจุดที่สร้างผลกระทบเชิงบวกสูงสุดต่อชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งเวลาเพื่อดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง การเติมอาหารสมองเพื่อยกระดับปัญญา การรดน้ำพรวนดินให้กับมิตรภาพที่สำคัญ หรือการวางรากฐานทางการเงินและทักษะเพื่ออนาคต
ท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายสูงสุดของการลงทุนในครั้งนี้ มิได้วัดผลที่ตัวเลขผลตอบแทน (ROI) ในรูปแบบของเม็ดเงินที่เพิ่มพูนขึ้นในบัญชีธนาคารเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้ นั่นคือ “คุณภาพชีวิตที่ดี” (Well-being) และความรู้สึกเติมเต็มที่สามารถสัมผัสได้จริงในทุกขณะของการใช้ชีวิต
การได้ตื่นขึ้นมาในร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่แจ่มใส รายล้อมด้วยความสัมพันธ์ที่อบอุ่น และมีความมั่นใจในอนาคตที่ตนเองได้ออกแบบไว้ สิ่งเหล่านี้คือ “เงินปันผลแห่งความสุข” ที่คุ้มค่าที่สุด ซึ่งเกิดจากการลงทุนอย่างตั้งใจในวันนี้ และเป็นผลตอบแทนที่ยั่งยืนที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงได้รับจากการมีชีวิตอยู่