"เอกนิติ" พร้อมเร่งปฏิรูปใหญ่–ปลดล็อกการลงทุนอนาคต ชูลงทุนในคน–เทคโนโลยี ผนึก ธปท. เดินหน้าแพ็กเกจชุดใหญ่ อุ้มผู้ประสบภัยใต้เข้าครม.เศรษฐกิจบ่ายนี้ เบื้องต้นประเมินกระทบจีดีพี 0.1-0.2% นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในการปาฐกถาพิเศษ คู่หูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืนว่า ประเทศไทยกินบุญเก่ามานาน และไม่ได้มีการลงทุนใหม่ สิ่งสำคัญ ที่เข้ามาทำงานในช่วงเวลา 4 เดือน คือ อยากวางรากฐานให้กับรัฐบาลในสมัยหน้า โดยสิ่งที่สำคัญ คือ ไทยเจอปัญหาเชิงโครงสร้าง สิ่งสำคัญ คือ ไทยจะต้องเร่งปรับโครงสร้าง รวมถึงปลดล็อกกติกาให้เอื้อต่อการลงทุนในอนาคต เช่น การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เป็นต้น 
“ไทยเมื่อมีภาษีทรัมป์มา เราได้รับผลกระทบแรง เพราะเราพึ่งพาการส่งออกที่มาก ในประเทศอ่อนแอ การส่งออกหดไปเราก็กระทบหนัก การสร้างความเข้มแข็งในประเทศ ผ่านการลงทุนในระยะยาว จึงสำคัญมาก ผมจึงเน้นการลงทุนในคน จะเห็นว่าเกือบทุกนโยบาย ไม่ว่าจะคนละครึ่งพลัส การลงทุนผ่าน BOI การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน”นายเอกนิติ กล่าว สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ผลในเชิงเศรษฐกิจมหภาคไม่มากนัก เนื่องจากพื้นที่ที่ถูกกระทบไม่ได้กระทบกับจีดีพีใหญ่มากนัก แต่สิ่งที่กระทบมาก คือ ชีวิตประชาชน โดยจากการลงพื้นที่เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมานั้น การทำนโยบายไม่ได้ทำเพื่อเศรษฐกิจมหภาคอย่างเดียว แต่คือชีวิตของประชาชน ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย เฉพาะคนรายเล็ก รายย่อย ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ภาคใต้ พบว่า จำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในการฟื้นฟู เยียวยา ให้คนกลับมาแข็งแรง โดย ในการประชุมประชุมคณะกรรมการ นโยบายเศรษฐกิจ ในช่วงบ่ายวันนี้ ซึ่งจะเป็นการประสานนโยบายทั้งการคลัง นโยบายการเงิน และภาคเอกชนผ่านคณะกรรมการ ร่วมภาคเอกชน 3 สถานบัน (กกร.) โดยมาตรการที่ออกมาในวันนี้จะเป็นการช่วยคนในพื้นที่ เพื่อต่อลมหายใจ “การทำนโยบายเราเคารพซึ่งกันและกัน และผมไม่เคยแทรกแซงนโยบายการเงินเลย แต่เรามีเป้าหมายเดียวกัน และเรื่องการเยียวยา เราคำนึงถึงคนเป็นสำคัญ นโยบายที่ออกมา จะมีทั้งพักต้น พักดอก ดอกเบี้ย 0% ประกันก็จะมีประกันสังคมเข้ามาช่วยเหลือแรงงาน และฟื้นเขาให้เร็วที่สุด มาตรการเยียวยา ฟื้นฟูชีวิตคน และฟื้นฟูธุรกิจ การกลับมาเข้มแข็ง ที่จะเป็นกรอบในการช่วยเหลือ”นายเอกนิติ กล่าว การฟื้นครั้งนี้ ไม่ใช่การฟื้นระยะสั้น โดยนโยบายวันนี้ จะเป็นนโยบายให้อ็อกซิเจน แต่จะมีการหารือถึงมาตรการป้องกันภัย หรือ มาตรการการลงทุนในอนาคต เช่น การทำเป็น Smart City และให้กลับมาได้อย่างแข็งแรง ขณะเดียวกัน นอกจากมาตรการช่วยเหลือน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ในวันนี้แล้ว จะมีการเสนอมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ในการเสริมสภาพคล่องด้วย ขณะที่สัปดาห์หน้าจะเกี่ยวกับการออมในตลาดทุน เพื่อนำไปลดหย่อนภาษี ซึ่งจะมีการออก individual saving account ออกมา ซึ่งจะต้องติดตามในสัปดาห์หน้าต่อไป ***ธปท.สั่งแบงก์ออกมาตรการชุดใหญ่ อุ้มพื้นที่ภาคใต้ นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วม ในพื้นที่ภาคใต้ ประเมินเบื้องต้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อจีดีพี 0.1-0.2% เท่านั้น โดยธปท.ได้ออกมาตรการผ่อนเกณฑ์ผ่านสถาบันการเงินภายใต้การกำกับ โดยผ่อนเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ สามารถลดต้น ลดดอกได้ ลดการจ่ายชำระหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ธปท.หวังเห็นสถาบันการเงินภายใต้การกำกับออกมาตรการช่วยเหลือที่แรง เช่นเดียวกับมาตรการที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ดำเนินการออกมาช่วยลูกค้าในช่วงก่อนหน้านี้ “หาดใหญ่เป็นเรื่องเศร้ามาก ภาพของ Impact ที่เกิดขึ้นมองว่าจะกระทบต่อภาพรวม หรือผลต่อระบบเศรษฐกิจภาพรวมมีผลประมาณ 0.1-0.2% ของจีดีพีเท่านั้น ในเรื่องนโยบายการเงินที่พยายามช่วย คือ พยายามผ่อนเกณฑ์ทั้งหมดที่ทำได้ เพื่อไม่ให้ลูกหนี้ไหลมาเป็น NPL เชื่อว่า ธปท.คุยกับสถาบันการเงิน สมาคมธนาคารไทยก็ยินดีช่วยเต็มที่ เราก็ขอมาตรการแรงๆ เขาก็มีใจช่วยอยู่แล้ว”นายวิทัย กล่าว สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ จับตาข้อมูลที่ออกมาว่า กนง. จะเห็นอย่างไร ขณะเดียวกันสิ่งที่ธปท.จะทำคือ การปรับเปลี่ยนเป้าหมายและวิธีการใหม่ จากเดิม เน้นนโยบายการเงิน ใช้ดอกเบี้ยนโยบายเป็นหลัก แต่พบว่า มีจำกัด แต่จะเปลี่ยนจากดูแลเสถียรภาพเป็นหลัก เงินเฟ้อ สถาบันการเงินเข้มแข็ง ระบบการชำระเงินมีเสถียรภาพ โดยหลังจากนี้ นอกจากบทบาทดังกล่าว ธปท.จะดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง เพื่อทำให้คนกินดีอยู่ดีด้วย 
|