ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกปิดแดนลบในวันพฤหัสบดี (20 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดลดลง 386.51 จุด หลังจากแรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของ Nvidia อ่อนแรงลง ขณะที่ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ สะท้อนภาพรวมตลาดแรงงานได้ไม่ชัดเจน ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 45,752.26 จุด ลดลง 386.51 จุด หรือ 0.84% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,538.76 จุด ลดลง 103.40 จุด หรือ 1.56% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 22,078.05 จุด ลดลง 486.18 จุด หรือ 2.15% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ระดับต่ำสุด นับตั้งแต่วันที่ 10 ก.ย. ขณะที่ดัชนีแนสแดค ปิดที่ระดับต่ำสุด นับตั้งแต่วันที่ 11 ก.ย. ด้านดัชนีความผันผวน Cboe Volatility Index (VIX) ปิดที่ระดับสูงสุด นับตั้งแต่ 24 เม.ย. บ่งชี้ความกังวลของตลาดที่พุ่งขึ้น อีกทั้งดัชนีแนสแดคและดัชนีดาวโจนส์ ยังเคลื่อนไหวผันผวน โดยทำจุดสูงสุดและต่ำสุดห่างกันถึง 1,000 จุดระหว่างวัน โดยแนสแดคมีช่วงแกว่งตัว 4.9 จุดเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการแกว่งรายวันที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. ซึ่งตลาดเผชิญความปั่นป่วนจากมาตรการภาษีสินค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้านราคาหุ้น Nvidia ปิดลดลง 3.2% แม้ระหว่างวัน จะปรับตัวพุ่งขึ้นสูงสุดกว่า 5% โดยกลุ่มหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ขณะที่ดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ (SOX) ลดลง 4.8% ซึ่งนักลงทุนยังคงมีความวิตกกังวลต่อมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่สูงเกินจริง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดัชนีแนสแดค ปรับตัวลงแรงจากระดับสูงสุดในเดือนต.ค. โดย Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก คาดการณ์ยอดขายไตรมาส 4 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด และรายได้ไตรมาส 3 ก็ออกมาดีกว่าคาดเช่นกัน โดยเจนเซน หวง ซีอีโอของ Nvidia กล่าวว่า ไม่กังวลต่อความเสี่ยงด้าน AI พร้อมระบุว่า “เรามองเห็นภาพที่แตกต่างไปอย่างมาก” นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจชุดล่าสุดระบุว่า อัตราว่างงานสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นในเดือน ก.ย. แม้นายจ้างเพิ่มการจ้างงานมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ก็ตาม ซึ่งก่อให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในการประชุมนโยบายทางการเงินในเดือน ธ.ค. 
เจด เอลเลอร์โบรค ผู้จัดการพอร์ตจาก Argent Capital Management กล่าวว่า “คาดว่าตลาดน่าจะขึ้นตามแรงหนุนจากผลประกอบการของ Nvidia และความกังขาเรื่องการลงทุน AI ที่ลดลง โดยผลประกอบการของ Nvidia ช่วยลบความกังวลหลายประเด็นออกไป” พร้อมเสริมว่า แม้ยากจะชี้ชัดถึงสาเหตุการกลับตัวของตลาด แต่เป็นไปได้ว่านักลงทุนยังคงถือสินทรัพย์กลุ่ม Defensive ต่อเนื่องจากช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P 500 พบว่ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% โดยเป็นภาคส่วนเพียงกลุ่มเดียวที่ปิดในแดนบวก ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวร่วงแรงสุดที่ 2.7% ขณะที่หุ้นรายตัว ที่มีผลประกอบการโดดเด่น พบว่าหุ้น Walmart พุ่งขึ้น 6.5% หลังบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการทั้งปีเป็นครั้งที่ 2 และประกาศวันย้ายการซื้อขายหุ้นจากตลาดนิวยอร์กไปยังตลาดแนสแดคในเดือนธ.ค. หลังรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ยุติการปิดทำการเนื่องจากภาวะชัตดาวน์นาน 43 วัน ล่าสุด มีการทยอยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจออกมา หลังจากที่ต้องล่าช้า โดยรายงานตลาดแรงงาน ถือเป็นรายงานครั้งสุดท้าย ก่อนการประชุมของเฟดประจำเดือน ธ.ค. ซึ่งสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) จะข้ามรายงานเดือนต.ค. และรวมเข้ากับรายงานเดือน พ.ย. ด้านลิซ่า คุก ผู้ว่าการเฟด ระบุว่า ในอดีตที่ผ่านมา ราคาสินทรัพย์ในตลาดหุ้น ตราสารหนี้ภาคเอกชน ที่อยู่อาศัย และตลาดกู้ยืมที่มีเลเวอเรจอยู่ในระดับสูง อาจเป็นสัญญาณของการปรับฐานครั้งใหญ่ในอนาคต ที่มา Reuters 
|