วุฒิสภาสหรัฐฯ เริ่มลงมติโหวตร่างงบประมาณ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า ภาวะชัตดาวน์รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ยาวนานเป็นประวัติการณ์ใกล้สิ้นสุดลง หลังกลุ่มวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตสายกลางจำนวนอย่างน้อย 8 คน ตกลงสนับสนุนข้อตกลงเพื่อให้กลับมาเปิดหน่วยงานของรัฐบาลอีกครั้ง และจัดสรรงบประมาณให้บางหน่วยงานตลอดปีงบประมาณถัดไป ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว สภาคองเกรสจะผ่านร่างกฎหมายงบประมาณเต็มปี ให้แก่กระทรวงเกษตร กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก และสภาคองเกรสเอง ส่วนหน่วยงานอื่น ๆ จะได้รับงบประมาณชั่วคราวถึงวันที่ 30 ม.ค. นอกจากนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวจะจ่ายเงินชดเชยให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกพักงานชั่วคราว คืนเงินที่รัฐบาลกลางค้างจ่ายแก่รัฐและเทศบาล และเรียกเจ้าหน้าที่ที่ถูกเลิกจ้างกลับเข้าทำงาน หลังรายงานดังกล่าว ส่งผลให้ฟิวเจอร์สดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นในการซื้อขายช่วงเช้าในเอเชีย หลังมีสัญญาณว่า ภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ใกล้ยุติลง ทั้งนี้ หากร่างดังกล่าวผ่านการลงมติแล้ว วุฒิสภาจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกทุกคน เพื่อยุติชัตดาวน์อย่างรวดเร็ว เนื่องจากหากมีสมาชิกเพียงคนเดียวที่ไม่เห็นชอบ ก็อาจทำให้กระบวนการต้องชะลอไปอีกหลายวัน โดยสภาผู้แทนราษฎรจะต้องผ่านร่างกฎหมายต่อไป เพื่อให้รัฐบาลกลับมาเปิดทำการ 
อย่างไรก็ตาม การผ่านร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรยังคงไม่แน่นอน โดยผู้นำพรรคเดโมแครต จะคัดค้านข้อตกลงใด ๆ ก็ตามที่ไม่ต่ออายุเงินอุดหนุนโครงการ “โอบามาแคร์” ซึ่งยังไม่รวมไว้ในร่างฯ นี้ ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันสายอนุรักษ์นิยมต้องการให้ร่างกฎหมายครอบคลุมงบประมาณทั้งปีจนถึง 30 ก.ย. ปีหน้า ทั้งนี้ พรรคเดโมแครต ได้รับคำมั่นจากพรรครีพับลิกันว่า จะนำร่างฯ ต่ออายุเครดิตภาษีของโอบามาแคร์เข้าสู่การลงมติภายในกลางเดือนธ.ค. แม้ว่าคำมั่นนี้ ซึ่งจอห์น ธูน (John Thune) ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา เคยเสนอไว้ก่อนหน้า จะยังไม่เป็นที่พอใจแก่สมาชิกพรรคเดโมแครตก็ตาม การคลี่คลายของวิกฤตชัตดาวน์ซึ่งยืดเยื้อนานถึง 40 วันครั้งนี้ คล้ายกับวิกฤตที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายที่ใช้ชัตดาวน์เป็นเครื่องต่อรองทางนโยบาย มักจบลงโดยไม่ได้รับชัยชนะ อย่างกรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถผลักดันงบสร้างกำแพงชายแดนได้ในช่วงชัตดาวน์ปี 2018–2019 ขณะที่พรรครีพับลิกันก็ล้มเหลวในการยกเลิกโอบามาแคร์ระหว่างชัตดาวน์ปี 2013 ทั้งนี้ ผลกระทบจากชัตดาวน์ กำลังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์ โดยสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ประเมินว่า จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจรายไตรมาส ลดลงราว 1.5 จุดเปอร์เซ็นต์ภายในกลางเดือนพ.ย. ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคล่าสุด ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ท่ามกลางความกังวลเรื่องราคาสินค้าและตลาดแรงงาน การชัตดาวน์ยังทำให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจของรัฐบาลส่วนใหญ่ถูกระงับ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องดำเนินนโยบายท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อและการจ้างงาน ที่มา Bloomberg  |