กำไรของภาคอุตสาหกรรมจีน ปรับตัวลดลงอย่างมากในเดือนต.ค. ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่ปะทุขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว และทิศทางการเติบโตโดยรวมของเศรษฐกิจที่อ่อนแรงลง สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เผยแพร่ข้อมูลซึ่งระบุว่า กำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ลดลง 5.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ถือเป็นการหดตัวครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. และเป็นการพลิกกลับจากการเติบโตระดับเลข 2 หลักในเดือนส.ค. และก.ย. ขณะที่ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2025 กำไรของผู้ผลิตรายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียง 1.9% จากปีก่อนหน้า ชะลอลงจากอัตราเติบโต 3.2% ในช่วงม.ค.–ก.ย. ทั้งนี้ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน–สหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนดังกล่าว หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 100% ก่อนที่ทั้ง 2 ประเทศจะสามารถบรรลุข้อตกลงที่เกาหลีใต้ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ภาคเหมืองแร่ ถือเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยกำไรร่วง 27.8% ในช่วงม.ค.–ต.ค. ขณะที่ภาคการผลิตมีกำไรเพิ่มขึ้น 7.7% และภาคสาธารณูปโภค ซึ่งรวมถึงกิจการไฟฟ้า ความร้อน เชื้อเพลิง และน้ำ เติบโต 9.5% ด้านกำไรของผู้ผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น 4.4% ในช่วง 10 เดือนแรก ขยายตัวจากระดับ 3.4% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี ขณะที่กำไรของรัฐวิสาหกิจ อยู่ในระดับทรงตัวเมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนจากต่างชาติ (รวมถึงฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน) เติบโต 3.5% และบริษัทเอกชนเพิ่มขึ้น 1.9% 
อวี่ เว่ยหนิง หัวหน้านักสถิติของ NBS ระบุว่า การร่วงลงของกำไรในเดือนต.ค. เกิดจากฐานเปรียบเทียบที่สูงในปีก่อนหน้า และการขยายการลงทุนของภาคธุรกิจในอัตราที่รวดเร็ว ซึ่งภาคการผลิตของจีน หดตัวมากกว่าคาดในเดือนต.ค. โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ 49.0 ต่ำกว่าเส้นแบ่งการขยายตัวและหดตัวที่ระดับ 50 แม้ว่าผู้ผลิต จะได้รับแรงหนุนบางส่วนจากข้อตกลงการค้า ซึ่งช่วยลดภาษีสินค้าจีนบางรายการ แต่ความต้องการในประเทศที่ซบเซาและความไม่แน่นอนของการค้าโลก ยังคงเป็นปัจจัยฉุดภาพรวมแนวโน้มการค้า นอกจากนี้ จีนยังส่งสัญญาณว่าจะสั่งแบนการนำเข้าสินค้าทะเลจากญี่ปุ่นทั้งหมด เนื่องมาจากความขัดแย้งทางการทูตเกี่ยวกับประเด็นไต้หวัน ด้านเงินเฟ้อ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในเดือนต.ค. โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ขยับขึ้น 0.2% จากปีก่อนหน้า หลังอยู่ในแดนลบเกือบตลอดทั้งปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมอาหารและพลังงาน) เพิ่มขึ้น 1.2% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ก.พ. 2024 ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนเติบโตเพียง 4.8% ในไตรมาส 3 และข้อมูลล่าสุดชี้ว่า โมเมนตัมอ่อนแรงลงต่อเนื่องในช่วงเริ่มต้นไตรมาส 4 โดยยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเพียง 2.9% ในเดือนต.ค. ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และถือเป็นอัตราที่อ่อนแอที่สุดในรอบกว่า 1 ปี ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรหดตัว 1.7% ในช่วง 10 เดือนแรก เป็นการติดลบที่ไม่เคยเกิดขึ้น นับตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 4.9% ต่ำกว่าคาดเช่นกัน ที่มา CNBC 
|