สำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 119,000 ตำแหน่ง จากเดือนส.ค. มากกว่าคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าจะเพิ่มเพียง 50,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงานยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี ซึ่งตอกย้ำความเปราะบางในตลาดแรงงานสหรัฐฯ นอกจากตัวเลขการจ้างงานหลักแล้ว BLS ยังระบุว่า อัตราการว่างงานยังปรับขึ้นเป็น 4.4% ซึ่งเป็นระดับสูงสุด นับตั้งแต่เดือนต.ค. 2021 ขณะที่อัตราว่างงานในภาพรวม ซึ่งรวมผู้ที่ไม่ได้หางานหรือทำงานพาร์ตไทม์ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 8% ส่วนค่าแรงเฉลี่ยรายชั่วโมงเพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี เทียบกับคาดการณ์ที่ 0.3% และ 3.7% ตามลำดับ รายงานฉบับนี้นับเป็นการยุติภาวะไร้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดแรงงานที่กินเวลาตั้งแต่ต้นเดือนก.ย. และลากยาวออกไปเนื่องจากภาวะชัตดาวน์ ซึ่งทำให้หน่วยงานต่าง ๆ รวมถึง BLS และสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจ (BEA) ไม่สามารถเก็บรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลได้ตามปกติ และถือเป็นรายงานการจ้างงานฉบับแรกนับจากงวดเดือนส.ค. ที่เผยแพร่เมื่อ 5 ก.ย. และเป็นฉบับที่ 2 ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปลดเอริกา แม็คเอนทาร์เฟอร์ อดีตผู้บัญชาการ BLS เมื่อ 1 ส.ค. ด้านนักลงทุนยังคงประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมวันที่ 9–10 ธ.ค. โดยนี่เป็นรายงานการจ้างงานฉบับสุดท้ายก่อนที่เฟดจะลงมติเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ทั้งยังมีสัญญาณจากการประชุมเดือนต.ค. โดยรายงานบันทึกการประชุมที่เผยแพร่เมื่อวันพุธบ่งชี้ถึงแนวโน้มว่าอาจมีการชะลอลดดอกเบี้ยไปจนกว่าจะสิ้นปี 
โดยรวมแล้ว รายงานสะท้อนว่า ตลาดแรงงานเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ด้วยแรงส่งแบบเดียวกับตลอดทั้งปี คือเติบโตในจังหวะ “ช้าแต่มั่นคง” ขณะที่ภาคธุรกิจระมัดระวังในการจ้างงานเพิ่มเติมและไม่เร่งปลดพนักงาน ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนจากท่าทีเชิงรุกของทำเนียบขาวภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ขณะเดียวกัน ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 พ.ย. อยู่ที่ 220,000 ราย ลดลง 8,000 รายจากสัปดาห์ก่อน และต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 227,000 ราย เมื่อแบ่งตามภาคธุรกิจพบว่า การจ้างงานเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นจากกลุ่มเดิม ได้แก่ ภาคสาธารณสุขเพิ่ม 43,000 ตำแหน่ง ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ร้านอาหารและบาร์เพิ่ม 37,000 ตำแหน่ง และการบริการสังคมเพิ่ม 14,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาคขนส่งและคลังสินค้าลดลง 25,000 ตำแหน่ง ส่วนการจ้างงานในฝั่งรัฐบาลกลาง ซึ่งเคยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการจ้างงาน ลดลงอีก 3,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้ยอดรวมปีนี้ลดลงแล้วกว่า 97,000 ตำแหน่ง ขณะที่กลุ่มบริการวิชาชีพและธุรกิจลดลง 20,000 ตำแหน่ง จากการหดตัวของงานชั่วคราว 16,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ ข้อมูลจากผลสำรวจภาคครัวเรือน ซึ่งใช้คำนวณอัตราว่างงาน สะท้อนภาพที่สดใสขึ้น โดยพบว่า จำนวนผู้มีงานทำเพิ่มขึ้น 251,000 คน ขณะที่กำลังแรงงานเพิ่มขึ้น 470,000 คน แตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 171.2 ล้านคน ส่งผลให้อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานขยับขึ้นสู่ระดับ 62.4 สูงสุดตั้งแต่เดือนพ.ค. จำนวนผู้มีงานประจำเพิ่มขึ้น 673,000 คน ขณะที่งานพาร์ตไทม์ลดลง 573,000 คน ที่มา CNBC 
|