ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผ่านทางโทรศัพท์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการหารือครั้งแรก นับตั้งแต่ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงยุติสงครามภาษีเมื่อเดือนที่แล้ว โดยการสนทนาครอบคลุมประเด็นการค้า ไต้หวัน และการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า การสนทนาครั้งนี้เป็นการพูดคุยที่ดีมาก โดยผู้นำทั้ง 2 ได้หารือเกี่ยวกับการนำเข้าถั่วเหลืองและสินค้าเกษตรอื่น ๆ รวมถึงความร่วมมือในการสกัดกั้นการลักลอบส่งเฟนทานิลผิดกฎหมายเข้าสหรัฐฯ พร้อมยังเปิดเผยว่า ได้ตกลงเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งในเดือนเม.ย. และได้เชิญสี จิ้นผิงให้เดินทางเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในปีหน้า อีกทั้ง ยังโพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน “แข็งแกร่งอย่างยิ่ง” พร้อมระบุว่าทั้ง 2 ประเทศมีความคืบหน้าอย่างมากในการรักษาข้อตกลงที่มีอยู่ “ตอนนี้เราสามารถมองไปยังภาพใหญ่กว่าได้” อย่างไรก็ตาม คำแถลงของทำเนียบขาว ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญสำหรับจีน นั่นคือ ไต้หวัน โดยฝ่ายจีนระบุผ่านกระทรวงการต่างประเทศว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ย้ำต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่า “การนำไต้หวันกลับคืนสู่จีน” เป็นส่วนสำคัญของระเบียบโลก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเรียกร้องให้ทั้ง 2 ประเทศ รักษาแรงส่งเชิงบวกจากการพบกันที่เกาหลีใต้เมื่อเดือนก่อน พร้อมขยายความร่วมมือให้กว้างขึ้น นอกจากนี้ ทั้ง 2 ผู้นำ ยังได้หารือประเด็นสงครามรัสเซีย–ยูเครน โดยผู้นำจีน แสดงความหวังว่าทั้ง 2 ประเทศ จะสามารถผลักดันข้อตกลงสันติภาพที่มีผลผูกพันได้ ด้านแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว ระบุว่า การสนทนาครั้งนี้กินเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พร้อมกล่าวว่า “การพูดคุยเน้นไปที่ข้อตกลงทางการค้าที่เรากำลังเจรจากับจีน และความคืบหน้าของความสัมพันธ์ที่ขยับไปในทิศทางที่ดีขึ้น” 
ความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นและจีน ที่ปะทุขึ้นจากประเด็นไต้หวัน อาจเพิ่มความซับซ้อนต่อความสัมพันธ์สหรัฐฯ–จีน แม้ทั้ง 2 ประเทศจะเพิ่งบรรลุข้อตกลงพักรบทางการค้าในเดือนต.ค. ก็ตาม โดยญี่ปุ่นถือเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในเอเชีย ซึ่งตามข้อตกลงดังกล่าว สหรัฐฯ ยอมลดภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลสำหรับสินค้าจีน ขณะที่จีนตกลงยกเลิกข้อจำกัดบางประการ เกี่ยวกับการส่งออกแร่หายากให้สหรัฐฯ แต่ความตึงเครียดล่าสุดอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของข้อตกลงดังกล่าว ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวเมื่อต้นเดือนว่า หากเกิดกรณีจีนโจมตีไต้หวัน ญี่ปุ่นอาจมีปฏิกิริยาทางทหาร ซึ่งเป็นท่าทีที่จีนตำหนิอย่างรุนแรงและเรียกร้องให้ถอนคำพูด โดยนับแต่นั้น จีนได้ออกคำเตือนงดประชาชนเดินทางไปญี่ปุ่น ระงับการฉายภาพยนตร์ญี่ปุ่นบางเรื่อง และสั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายยังเพิ่มการซ้อมรบทางทหาร โดยจีนประกาศลาดตระเวนในทะเลจีนตะวันออก ขณะที่ญี่ปุ่นเตรียมติดตั้งขีปนาวุธในพื้นที่ใกล้ไต้หวัน ทั้งนี้ สหรัฐฯ และจีน ยังอยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการที่จีนจะผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการส่งออกแร่หายากให้สหรัฐฯ โดยทั้ง 2 ฝ่าย ตั้งเป้าบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับใบอนุญาตทั่วไป สำหรับการส่งออกแร่หายากและแร่เชิงกลยุทธ์ภายในปลายเดือนนี้ แม้การพูดคุยในส่วนนี้ยังคงค้างคา แต่สหรัฐฯ ก็ได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการด้านภาษีและความมั่นคงแล้ว ขณะที่อุตสาหกรรมโลกตั้งแต่ยานยนต์ไปจนถึงหุ่นยนต์ ยังคงเสี่ยงต่อความปั่นป่วนจากภาวะขาดแคลนแร่หายาก ที่มา Bloomberg 
|