Starbucks Corp. แบรนด์ร้านขายกาแฟยักษ์ใหญ่ บรรลุข้อตกลงขายหุ้นในธุรกิจที่ประเทศจีน ให้แก่บริษัทลงทุนเอกชน Boyu Capital ภายใต้ดีลมูลค่าราว 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยทั้ง 2 ฝ่ายจะจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อบริหารธุรกิจค้าปลีกภายใต้แบรนด์ Starbucks ในจีน ตามเงื่อนไขของดีลที่มีมูลค่ารวม 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.5 แสนล้านบาท) บริษัท Boyu ซึ่งเป็นกองทุนบริหารสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset Management) จะถือหุ้นสูงสุด 60% ขณะที่ Starbucks จะถือหุ้น 40% โดยยังคงสิทธิ์ในการอนุญาตใช้แบรนด์และทรัพย์สินทางปัญญาให้กับบริษัทร่วมทุนดังกล่าว ขณะที่มูลค่ารวมธุรกิจ Starbucks ในจีนนั้น อยู่ที่กว่า 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงมูลค่าการขายหุ้นส่วนควบคุม (Controlling stake) ในกิจการใหม่, มูลค่าหุ้นที่ยังถือครองอยู่ และรายได้จากค่าลิขสิทธิ์ที่จะได้รับต่อเนื่องในอนาคต โดยข้อตกลงนี้ คาดว่าจะปิดดีลได้ในไตรมาส 2 ปีงบประมาณ 2026 เมื่อได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล Starbucks เปิดสาขาแรกในจีนเมื่อปี 1999 และเติบโตจนกลายเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 ของบริษัท รองจากสหรัฐฯ ในปี 2015 ซึ่งในปัจจุบัน มีร้านกาแฟราว 8,000 แห่งทั่วประเทศจีน ด้าน มอลลี่ หลิว (Molly Liu) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Starbucks China กล่าวในแถลงการณ์ว่า “ด้วยโมเมนตัมทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง การเป็นพันธมิตรกับ Boyu จะช่วยให้ Starbucks China ปลดล็อกศักยภาพทางการตลาดอันมหาศาลได้อย่างเต็มที่” ขณะที่ซีอีโอของ Starbucks ไบรอัน นิคอล (Brian Niccol) ให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนก.ย. ว่า ตลาดจีนมีศักยภาพขยายสาขาได้มากถึง 20,000–30,000 แห่งทั่วประเทศ ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ยอดขายของ Starbucks ในจีน ได้ชะลอตัวลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มจากผลกระทบของโควิด-19 และมาตรการควบคุมเข้มของรัฐบาล ตามมาด้วยการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งในประเทศ โดยเฉพาะ Luckin Coffee ที่ปัจจุบันมีจำนวนสาขามากกว่า Starbucks และดึงดูดลูกค้าด้วยราคาที่ถูกกว่า รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปีงบประมาณล่าสุดระบุว่า ยอดขายสาขาเดิมในจีนเพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้า โดยมีปริมาณลูกค้าเพิ่มขึ้น 9% แต่ราคาขายเฉลี่ยต่อบิลลดลง เนื่องจาก Starbucks ต้องพึ่งกลยุทธ์ลดราคา เพื่อแข่งขันส่งผลให้กำไรในตลาดจีนถูกกดดัน แม้ผู้บริหารจะยังคงแสดงความเชื่อมั่นต่อโอกาสการเติบโตในระยะยาวของตลาดจีนก็ตาม แต่ผลประกอบการที่ซบเซา ได้ฉุดภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในระดับโลก ทั้งนี้ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา จีนถือเป็นตลาดเป้าหมายสำคัญของบริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ด้วยประชากรจำนวนมหาศาลและเศรษฐกิจที่ขยายตัวรวดเร็ว แต่ในช่วงหลัง การชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการแข่งขันจากแบรนด์ท้องถิ่น ทำให้หลายบริษัทต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ ก่อนหน้านี้ Restaurant Brands International เจ้าของแบรนด์ Burger King ได้เข้าซื้อกิจการสาขาในจีนกลับมาบริหารเอง เพื่อเตรียมขายต่อให้ผู้ประกอบการรายใหม่ ขณะที่ McDonald’s ตัดสินใจเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในธุรกิจจีนจาก 20% เป็น 48% เมื่อ 2 ปีก่อน เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสการเติบโตในตลาดจีนเช่นกัน ที่มา CNBC 
|