ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนบวกในวันจันทร์ (10 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 381.53 จุด จากแรงซื้อหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่าง Nvidia และ Palantir รวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่น ๆ หลังมีความคืบหน้าว่า ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งทำสถิติยาวนานที่สุดใกล้จะยุติลง ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,368.63 จุด เพิ่มขึ้น 381.53 จุด หรือ 0.81% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,832.43 จุด เพิ่มขึ้น 103.63 จุด หรือ 1.54% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,527.17 จุด เพิ่มขึ้น 522.64 จุด หรือ 2.27% ถือเป็นการทำสถิติปรับขึ้นรายวันมากที่สุด นับตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ข้อตกลงเพื่ออนุมัติงบประมาณบางส่วน ได้ผ่านการพิจารณาขั้นต้นในวุฒิสภาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้มีโอกาสสูงที่ภาวะชัตดาวน์ของหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลงภายในสัปดาห์นี้ แม้ยังไม่ชัดเจนว่าสภาคองเกรสจะอนุมัติในขั้นสุดท้ายหรือไม่ โดยคริส แซคคาเรลลี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Northlight Asset Management กล่าวว่า “ภาวะชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อนานกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้มาก ส่งผลให้ความกังวลทั้งต่อเศรษฐกิจโดยรวมและผลกระทบต่อการเดินทางทางอากาศขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจลุกลามในวงกว้าง” หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ฟื้นตัวจากแรงเทขายในสัปดาห์ก่อน ซึ่งส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของดัชนี S&P 500 ร่วงลงถึง 4.2% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 5.8% หุ้น Palantir เพิ่มขึ้น 8.8% และหุ้น Tesla ขยับขึ้น 3.7% โดยรอส เมย์ฟีลด์ นักกลยุทธ์การลงทุนจาก Baird กล่าวว่า “ตลาดกลับมารีบาวน์ หลังจากที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ถูกเทขายมากเกินไปในสัปดาห์ก่อน และเป็นอีกครั้งที่กลยุทธ์ Buy the dip แสดงพลังอย่างรวดเร็วในหุ้นกลุ่มนี้ โดยพื้นฐานของธีม AI ยังแข็งแกร่ง และรายงานผลประกอบการหลายแห่งในภาคเทคโนโลยียังออกมาดีกว่าคาดการณ์” 
ด้านดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็ก เพิ่มขึ้น 0.9% ขณะที่ดัชนี PHLX Semiconductor พุ่งขึ้น 3% ในขณะที่หุ้นสายการบิน เผชิญแรงกดดันจากคำสั่งลดเที่ยวบินและการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการบิน โดยหุ้น United Airlines ร่วง 1.3% และ American Airlines ลดลง 2.5% ข้อมูลจากเว็บไซต์ Polymarket คาดว่า ความน่าจะเป็นที่ภาวะชัตดาวน์จะยุติลงภายในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 88% ซึ่งภาวะชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และนักลงทุนขาดข้อมูลเศรษฐกิจจากภาครัฐ ทำให้ต้องพึ่งพาข้อมูลจากภาคเอกชนซึ่งมีทิศทางไม่สอดคล้องกัน โดยเจ้าหน้าที่บางส่วนของเฟด ยังคงใช้ความระมัดระวังต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินในการประชุมครั้งหน้า ขณะที่สตีเฟน มิแรน ผู้ว่าการเฟด เรียกร้องให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ ขณะเดียวกัน ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว โดยบริษัทในดัชนี S&P 500 จำนวน 446 แห่งที่รายงานผลออกมา พบว่า 83% มีกำไรสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มประกันสุขภาพปรับตัวร่วงลง หลังวุฒิสภาสหรัฐฯ ตกลงยุติภาวะชัตดาวน์โดยไม่ต่ออายุเงินอุดหนุนตามกฎหมาย Affordable Care Act หรือโอบามาแคร์ (Obamacare) โดยเลื่อนการพิจารณาไปเป็นเดือนธ.ค. ส่งผลให้หุ้น Centene ดิ่ง 8.8% หุ้น Humana ร่วง 5.4% และหุ้น Elevance Health ลดลง 4.4% ด้านหุ้น Metsera ร่วงหนัก 14.8% หลัง Pfizer ชนะการประมูลเข้าซื้อกิจการของบริษัท มูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หุ้น Eli Lilly พุ่ง 4.6% ทำจุดสูงสุดใหม่ หลังได้รับการปรับเพิ่มคำแนะนำจากบริษัทวิจัย Leerink Partners ที่มา Reuters 
|