สถานะของ Google ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยถูกนักวิเคราะห์ หรือแม้แต่อดีตผู้บริหาร Google เองวิจารณ์ว่าตามหลังคู่แข่งในสมรภูมิ AI มาตอนนี้ กำลังเป็นยักษ์หลับที่ตื่นแล้ว หลังออกซอฟต์แวร์ AI ใหม่และทำข้อตกลงสำคัญกับพาร์ทเนอร์ในวงการ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือด้านชิปกับ Anthropic ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่า บริษัทจะไม่พ่ายแพ้ให้กับ OpenAI ง่าย ๆ ความสำเร็จของโมเดล Gemini 3 และเทคโนโลยีคลาวด์ ล่าสุด โมเดล AI ของ Google อย่าง Gemini 3 ได้รับคำชมอย่างล้นหลามในแง่การให้เหตุผลและเขียนโค้ด รวมถึงงานเฉพาะทางที่เคยเป็น Pain point สำหรับแชตบอต โดยธุรรกิจคลาวด์ของ Google ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงผู้ตามก็กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเร่งพัฒนาบริการ AI ทั่วโลกและความต้องการด้านการประมวลผลที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง ยังมีสัญญาณของความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับชิป AI เฉพาะทางของ Google ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลือกเพียงไม่กี่ราย ที่มีการใช้งานจริง นอกเหนือไปจากเจ้าตลาดอย่าง Nvidia ด้าน Meta Platforms กำลังเจรจาใช้ชิปของ Google ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทแม่ Alphabet พุ่งแรง และมีมูลค่าตามราคาตลาดเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ นับจากกลางเดือนต.ค. ส่วนหนึ่งมาจากการที่วอเรน บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้น เป็นมูลค่า 4,900 ล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาสที่ 3 และความสนใจที่วอลล์สตรีทมีต่อการพัฒนาด้าน AI ของบริษัท Andrej Karpathy ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ระบุว่า Gemini 3 Pro เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ระดับ Tier 1 อย่างชัดเจน และทำผลงานขั้นสูงใน Leaderboard ทั้งของ LMArena และ Humanity’s Last Exam Google ระบุว่า จุดเด่นของ Gemini 3 อยู่ตรงที่ความสามารถในการแก้โจทย์ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาตร์ที่ซับซ้อนได้ รวมถึงแก้ไขปัญหาที่เคยเป็นอุปสรรค เช่น การสร้างภาพและข้อความซ้อนภาพที่มีการสะกดผิด 
ดีลชิป AI (TPU) และโครงสร้างพื้นฐาน สัญญาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นของชิป AI ของ Google (Tensor Processing Units - TPU) กลายเป็นทางเลือกในตลาดเพียงไม่กี่ราย ที่สามารถแข่งกับ Nvidia ได้ บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Anthropic ประกาศเมื่อเดือน ต.ค. ว่าจะใช้ชิป TPU ของ Google มากถึง 1 ล้านยูนิต ในดีลมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน มีรายงานจาก The Information ว่า Meta Platforms อยู่ระหว่างการเจรจา เพื่อใช้ชิปของ Google ในศูนย์ข้อมูลในปี 2027 ข้อได้เปรียบของ Google อยู่ตรงที่การเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่มีอีโคซิสเต็มครบวงจร หรือที่ในวงการเรียกว่า Full stack กล่าวคือมีทั้งแอปพลิเคชัน, โมเดลซอฟต์แวร์, สถาปัตยกรรมคลาวด์ และชิป ทำให้มีอำนาจควบคุมและกำหนดทิศทางในเชิงเทคนิค ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกเหมือนคู่แข่ง อย่าง OpenAI ธุรกิจคลาวด์และการชิงยอดผู้ใช้งาน ธุรกิจคลาวด์ของ Google รายงานรายได้ไตรมาส 3 ที่ 15,200 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน แต่ยังอยู่อันดับสาม ตามหลัง Microsoft และ Amazon Web Services ในแง่ยอดผู้ใช้งาน พบว่า แอป Gemini ของ Google มีผู้ใช้งาน 650 ล้านคน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ ChatGPT ของ OpenAI มีผู้ใช้งานรายสัปดาห์ 800 ล้านคน ส่วนยอดดาวน์โหลดรายเดือน ณ เดือนต.ค. แอป Gemini มีการดาวน์โหลด 73 ล้านครั้ง ยังตามหลัง ChatGPT ซึ่งอยู่ที่ 93 ล้านครั้ง การปรับโครงสร้างและการบริหาร กว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ Google ยอมรับความเสี่ยง ย้อนไปช่วงต้นปี 2023 Google ได้รวบรวมโครงการด้าน AI ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้การนำทีมของ Demis Hassabis ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ DeepMind นำไปสู่การปรับโครงสร้างครั้งนี้ แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้าง โดยเฉพาะการเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มสร้างภาพที่ยังมีข้อผิดพลาด เพราะหลายปีที่ผ่านมา DeepMind มุ่งเน้นการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ แต่มีส่วนเพียงเล็กน้อยต่อผลกำไรของ Google ภายใต้การปรับโครงสร้างใหม่นี้ แผนก AI มุ่งเน้นไปที่โมเดลพื้นฐาน ที่สามารถตามทัน OpenAI, Microsoft และคู่แข่งรายอื่น ๆ ได้เกือบทั้งหมด นอกจากนี้ Hassabis ในฐานะนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ยังให้ความสำคัญกับบุคลากร และยังสามารถรักษาบรรดาวิศวกร AI คนสำคัญไว้ได้ แม้จะมีการเสนอค่าตอบแทนก้อนโตจากคู่แข่ง เป็นเวลาหลายปีที่ผู้บริหารของ Google ย้ำว่าการวิจัยเชิงลึกและทุ่มทุนสูง จะช่วยให้บริษัทสามารถทิ้งห่างคู่แข่ง รักษาฐานะผู้นำในฐานะเสิร์ชเอนจิน และสร้างแพลตฟอร์มการประมวลผลแห่งอนาคต แม้ต่อมา ChatGPT จะถือกำเนิดขึ้น และสร้างความเสี่ยงต่อ Google Search ในรอบหลายปี แต่ Google ก็ยังมีทรัพยากรมากมายที่ OpenAI ไม่มี ได้แก่ คลังข้อมูลมหาศาลสำหรับฝึกและปรับปรุงโมเดล AI, ผลกำไรที่หมุนเวียนสม่ำเสมอ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลของตนเอง ที่มา Bloomberg 
|