*** ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการในวันพฤหัสบดี (27 พ.ย.) เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving day) *** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) เพิ่มขึ้น 45 เซนต์ หรือ 0.8% แตะ 59.10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ณ เวลา 13:46 น. ตามเวลานิวยอร์ก สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดที่ระดับ 63.34 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 21 เซนต์ หรือ 0.2% ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นในวันพฤหัสบดี ขณะที่นักลงทุนประเมินความเป็นไปได้ในการเจรจายุติสงครามรัสเซีย–ยูเครน ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องในวันหยุดขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐฯ โดยตลาดยังคงแกว่งตัวระหว่างความคาดหวังกับความไม่มั่นใจต่อความพยายามรื้อฟื้นการเจรจาสันติภาพในสงครามยูเครน *** โอเปกพลัส (OPEC+) มีแนวโน้มที่จะคงระดับการผลิตน้ำมันไว้ตามเดิมในการประชุมวันอาทิตย์นี้ พร้อมทั้งบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับกลไกประเมินกำลังการผลิตสูงสุดของประเทศสมาชิก โดยประเทศสมาชิกโอเปกพลัสจำนวน 8 ประเทศ ซึ่งทยอยเพิ่มกำลังการผลิตในปี 2025 คาดว่าจะยังคงนโยบายชะลอการเพิ่มกำลังการผลิตในไตรมาสแรกของปี 2026 ไว้เช่นเดิม *** โรงกลั่นเอกชนของจีน ได้รับโควตานำเข้าน้ำมันดิบล็อตแรกสำหรับปี 2026 ซึ่งสามารถใช้กับเรือบรรทุกน้ำมันที่มาถึงก่อนสิ้นปีนี้ โดยการออกโควตาชุดใหม่คาดว่าจะช่วยหนุนปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบของจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก และช่วยบรรเทาภาวะอุปทานส่วนเกินในตลาด ในกลุ่มโรงกลั่นที่ได้รับโควตา ประกอบด้วย เฮงหลี่ ปิโตรเคมิคอล ได้รับสิทธิให้นำเข้าน้ำมันดิบ 2 ล้านตัน และหรงเซิง ปิโตรเคมิคอล ได้รับโควตา 750,000 ตัน ขณะที่เซิงหง ปิโตรเคมิคอล และหงรุ่น ปิโตรเคมิคอล ได้รับโควตา 120,000 ตัน และ 530,000 ตันตามลำดับ *** ดูบราฟโก ลาโกส–บูยัส หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตลาดโลกของเจ.พี.มอร์แกน ระบุว่า ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มปิดปลายปี 2026 ที่ระดับ 7,500 จุด โดยได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งและวัฏจักรซูเปอร์ไซเคิล ที่ขับเคลื่อนโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดัชนี S&P 500 ปิดที่ระดับ 6,765.89 จุดในวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งหาก S&P 500 ปิดปีหน้าที่ 7,500 จุด จะสะท้อนการปรับขึ้นราว 10.9% จากระดับปัจจุบัน ถือเป็นตัวเลขใกล้เคียงกับเป้าหมายค่าเฉลี่ยสิ้นปี 2026 ที่ระดับ 7,490 จุด จากผลสำรวจนักกลยุทธ์หุ้นครั้งใหม่ของรอยเตอร์ *** ยอดขายออนไลน์ในสหรัฐฯ ช่วงวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน สู่ระดับ 8,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนว่าผู้บริโภคเร่งคว้าโปรโมชันลดราคาครั้งใหญ่จากผู้ค้าปลีก ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ถูกซ้ำเติมจากมาตรการภาษีนำเข้า โดยปัจจุบัน การใช้จ่ายออนไลน์ในสหรัฐฯ สูงกว่าปีก่อน 5.8% อยู่ที่ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ วันขอบคุณพระเจ้าและวันถัดมาอย่างแบล็กฟรายเดย์ ถือเป็นการเปิดฤดูกาลจับจ่ายปลายปี ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่สร้างสัดส่วนรายได้และกำไรราว 1 ใน 3 ของผู้ค้าปลีกสหรัฐฯ ตลอดทั้งปี 
*** ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียระบุว่า ข้อเสนอของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ สำหรับการยุติสงครามในยูเครนอาจเป็นพื้นฐานของข้อตกลงในอนาคตได้ แต่ยังไม่มีร่างฉบับสุดท้าย พร้อมส่งสัญญาณเปิดกว้างต่อการเจรจา ปูตินกล่าวว่า “โดยหลักการแล้ว เราเห็นพ้องว่าสิ่งนี้สามารถใช้เป็นพื้นฐานของข้อตกลงในอนาคตได้ แต่จะเป็นการไม่เหมาะสมหากผมพูดถึงร่างฉบับสุดท้าย เพราะมันยังไม่มี” *** ยอดการปล่อยกู้ของธนาคารให้ภาคธุรกิจในยูโรโซน ทรงตัวในเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจสำคัญของสหภาพยุโรป ปรับขึ้นเล็กน้อยในเดือนพ.ย. สะท้อนว่าเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซน ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ในระดับเพียงเล็กน้อย เศรษฐกิจยูโรโซนยังคงแสดงความแข็งแกร่งเกินคาด ต่อแรงกระแทกด้านการค้าและความไม่แน่นอนตลอดปีนี้ แต่การเติบโตยังคงไม่โดดเด่น และกลุ่มยังตามหลังประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจของคณะกรรมาธิการยุโรป ปรับขึ้นสู่ระดับ 97.0 ในเดือน พ.ย. จาก 96.8 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ซ่อนความแตกต่างของภาคส่วนสำคัญไว้ *** กลุ่มรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม Transport & Environment (T&E) ระบุว่า คณะกรรมาธิการยุโรปควรปฏิเสธคำเรียกร้องจากผู้ผลิตรถยนต์ที่ต้องการให้ยานพาหนะสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ (ไบโอฟิวล์) ต่อไปหลังปี 2035 เนื่องจากเชื้อเพลิงดังกล่าวมีปริมาณจำกัดและไม่ได้เป็นคาร์บอนเป็นศูนย์จริง ภายใต้กฎระเบียบของสหภาพยุโรป รถยนต์รุ่นใหม่จะต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป เพื่อผลักดันยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าและยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและเครื่องยนต์สันดาปภายใน *** เน็กซ์พีเรีย (Nexperia) ผู้ผลิตชิปสัญชาติดัตช์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากซัพพลายเชนที่หยุดชะงัก หลังรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการเมื่อเดือน ก.ย. ออกจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้หน่วยงานของบริษัทในจีน ช่วยฟื้นฟูการผลิตให้กลับสู่ภาวะปกติ โดยหน่วยงานของเน็กซ์พีเรียในเนเธอร์แลนด์ระบุว่า บริษัทได้พยายามติดต่อเพื่อฟื้นฟูการเจรจาหลายครั้ง แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับจากฝ่ายจีน เน็กซ์พีเรียผลิตชิ้นส่วนกึ่งตัวนำพื้นฐานจำนวนมหาศาล ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในรถยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ โดยความขาดแคลนของชิ้นส่วนดังกล่าวเคยก่อให้เกิดปัญหาในซัพพลายเชนยานยนต์ รวมถึงการชะลอหรือหยุดสายการผลิต *** อาลีบาบา เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ “Quark” ในจีน ตอกย้ำความพยายามของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน ในการบุกตลาดอุปกรณ์สวมใส่ด้าน AI ซึ่งปัจจุบันถูกครองโดย Meta โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1,899 หยวน ขับเคลื่อนด้วยโมเดลปัญญาประดิษฐ์ Qwen และแอปพลิเคชันของอาลีบาบา โดยดีไซน์ภายนอกคล้ายแว่นสายตาทั่วไปด้วยกรอบพลาสติกสีดำ แตกต่างจากอุปกรณ์สวมศีรษะของผู้ผลิตรายอื่นอย่าง Meta แว่นรุ่นใหม่นี้จะเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับแอปของบริษัท ทั้ง Alipay และ Taobao โดยผู้ใช้สามารถใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ ได้ เช่น การแปลภาษาแบบเรียลไทม์ขณะเดินทาง และการตรวจสอบราคาสินค้าได้ในทันที *** ความต้องการซื้อ iPhone ของแอปเปิลในช่วงเทศกาลชอปปิงวันคนโสดของจีน (Singles’ Day) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้ยอดขายสมาร์ทโฟนเติบโตในช่วงเวลาดังกล่าว โดยแอปเปิล ครองส่วนแบ่ง 26% ของยอดขายสมาร์ทโฟนทั้งหมดตลอดช่วงเทศกาล ซึ่งยอดขาย iPhone 17 แข็งแกร่งเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม หากตัดยอดขายของแอปเปิลออก ยอดขายสมาร์ทโฟนในช่วง Singles’ Day ลดลง 5% สะท้อนสภาพผู้บริโภคที่ยังระมัดระวังและกำลังซื้อที่ไร้แรงส่ง *** นายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ มีแนวโน้มจะได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาล่างที่ทรงอิทธิพลของญี่ปุ่น หลังจากมีสมาชิกกลุ่มการเมืองขนาดเล็กประกาศเข้าร่วมรัฐบาลผสม โดยส.ส. 3 คนจากกลุ่มสมาคมเพื่อการปฏิรูป (Reform Association) ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลผสมของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ที่ทาคาอิจิเป็นผู้นำ ร่วมกับพรรคพันธมิตรอย่างพรรคนวัตกรรมญี่ปุ่น หรืออิชิน (Ishin) *** หุ้นของ Puma ปิดพุ่ง 18.9% ในวันพฤหัสบดี หลังมีรายงานว่าบริษัท Anta Sports ของจีน เป็นหนึ่งในหลายผู้สนใจเข้าซื้อกิจการแบรนด์กีฬาสัญชาติเยอรมันที่กำลังเผชิญปัญหา โดย Puma อยู่ระหว่างกระบวนการที่บริษัทเรียกว่า “การรีเซ็ตธุรกิจ” หลังอัตราการเติบโตของยอดขายร่วงลงอย่างหนัก โดยแบรนด์ต้องเผชิญความท้าทายจากความนิยมที่ลดลงในหมู่ผู้บริโภค และปัญหาสต็อกค้างจำนวนมาก *** ดัชนีหุ้นสำคัญของอินเดีย พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ในวันพฤหัสบดี ขณะที่ตลาดเอเชีย–แปซิฟิกส่วนใหญ่ เคลื่อนไหวตามทิศทางบวกของวอลล์สตรีท จากความหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดและแรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยี ดัชนี Nifty 50 แตะระดับ 26,284.2 จุด ส่วนดัชนี BSE Sensex ขยับขึ้นสู่ 86,026.18 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใหม่หลังจากทำสถิติครั้งล่าสุดเมื่อเดือน ก.ย. 2024 ส่วนตลาดญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei 225 ปิดบวก 1.23% ที่ 50,167.1 จุด นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่ดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 0.39% แตะ 3,368.57 จุด หุ้นที่โดดเด่น ได้แก่ Advantest เพิ่มขึ้น 4.88%, SoftBank Group พุ่ง 3.57% และ Lasertec บวก 4.6% ตลาดเกาหลีใต้ ดัชนี Kospi ปรับขึ้น 0.66% ปิดที่ 3,986.91 จุด ส่วนดัชนีหุ้นขนาดเล็ก Kosdaq เพิ่มขึ้น 0.31% ปิด 880.06 จุด โดยธนาคารกลางเกาหลีใต้ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ท่ามกลางค่าเงินวอนที่อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนเม.ย. ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกง และดัชนี CSI 300 ของจีน ต่างปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงที่ 25,945.93 จุด และ 4,515.4 จุด ตามลำดับ 
|