CIMBT คาดเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยง 3 ด้าน กดดันไตรมาส 4/68 และ ไตรมาส 1/69 ขยายตัวช้า ชี้ยุบสภาเร็วกว่ากำหนด เชื่องบประมาณปี 70 ผ่านรัฐสภาชุดใหม่ทันกำหนด เดินหน้าเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐ สร้างความเชื่อมั่น และ การลงทุนมากขึ้น หนุนการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 69 ย้ำยังไม่ปรับประมาณการเศรษฐกิจของไทย ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ CIMBT เปิดเผยถึงมุมมองเศรษฐกิจต่อการยุบสภาว่า การยุบสภาได้สลายความไม่ชัดเจนด้านเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่มีเวลาจำกัด และ มองว่าการยุบสภาก่อนข้อตกลงเดิมเพียงเดือนเศษๆไม่น่ากระทบเศรษฐกิจมากนัก อย่างไรก็ดี ช่วงจังหวะนี้เป็นจังหวะทางเศรษฐกิจที่น่ากังวลทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หลังน้ำท่วมปัญหาความขัดแย้งทางชายแดนกับกัมพูชา และปัญหากำลังซื้อที่อ่อนแอ ซึ่งต้องการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง รวมทั้งข้อตกลงการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐที่ยังเจรจาไม่สำเร็จ ล้วนเป็นความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 และ อาจต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 1 ปีหน้า ทั้งนี้ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจมีอยู่ด้วยกันหลักๆ 3 ด้าน ด้านที่ 1 คือ การลงทุนจากต่างประเทศ หรือ FDI โดยนักลงทุนต่างชาติอาจจะรีรอก่อนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพื่อรอมาตรการของภาครัฐ หรือนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ หลังเลือกตั้งแต่เชื่อว่ากระทบไม่มาก เพราะนักลงทุนที่เลือกที่จะ WAIT AND SEE อาจจะเป็นกลุ่มที่ยังไม่คุ้นเคยกับประเทศไทย แต่นักลงทุนที่คุ้นเคย และ ตั้งใจลงทุนในประเทศไทยอยู่แล้ว น่าที่จะเข้ามาลงทุนและหาโอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยไม่จำเป็นต้องรอการเลือกตั้ง ด้านที่ 2 คือ กำลังซื้อ เมื่อรัฐบาลยุบสภาอาจมีข้อจำกัดในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น มาตรการคนละครึ่งเฟส 2 มาตรการลดหย่อนภาษีอื่นๆ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อีกทั้ง การอนุมัติโครงการลงทุนใหม่อาจจะไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ดี มาตรการที่ดำเนินการอยู่แล้วยังสามารถดำเนินการต่อเนื่องได้ เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม สีม่วงใต้ รถไฟความเร็วสูงไทยจีน ด้านที่ 3 คือ ความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนจากการยุบสภาก่อนข้อกำหนดเดิมเล็กน้อย ก็ไม่น่ากระทบกับความเชื่อมั่นนักลงทุนมากนัก ซึ่งไม่น่าทำให้เงินบาท หรือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเปลี่ยนแปลงมากนัก อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่สูงขึ้นน่าทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเลือกที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 17 ธันวาคมนี้ จากระดับ 1.50% เหลือ 1.25% อย่างไรก็ตาม มองว่า ต่อให้ไม่มีการยุบสภาก็เชื่อว่า ทางคณะกรรมการนโยบายการเงินน่าที่จะลดอัตราดอกเบี้ยอยู่แล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวในช่วงต้นปีหน้า และ อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ซึ่งสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจปีหน้า 
นอกจากปัจจัยเสี่ยงแล้ว การยุบสภาที่เร็วกว่าข้อกำหนดเดิมมีปัจจัยบวกด้วยกันอยู่ 3 ด้าน 1.งบประมาณปี 2570 น่าจะผ่านรัฐสภาชุดใหม่ทันกำหนดวันที่ 1 ตุลาคม 2569 ซึ่งจะทำให้รัฐบาลชุดใหม่มีงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจการลงทุน และ อื่นๆ ไม่เหมือนกับการเลือกตั้งในครั้งก่อนหน้า ซึ่งการยุบสภาที่เร็วกว่าเดิมเดือนเศษๆ น่าที่จะทำให้การนับคะแนนการจัดตั้งรัฐบาลทันในช่วงการไตรมาส 2 และ มีรัฐบาลใหม่ในช่วงต้นไตรมาส 3 2.หลังจากมีรัฐบาลชุดใหม่น่าจะสามารถเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐรวมทั้งการเจรจาการค้าเสรีกับประเทศอื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในจุดนี้น่าจะสนับสนุนทำให้ต่างชาติมีความเชื่อมั่นมากขึ้น และ มีการลงทุนมากขึ้น และ สนับสนุนการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 3.หลังจากมีรัฐบาลชุดใหม่น่าที่จะมีงบกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชัดเจนขึ้น หลังจากที่รัฐบาลรักษาการอาจจะไม่สามารถมีอำนาจเต็มในการออกงบกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลชุดใหม่จะสามารถออกมาตรการให้งบกระตุ้นเศรษฐกิจได้รวดเร็ว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ "เรายังไม่ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจของไทย แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่แล้วที่ปีหน้าเศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำกว่าปีนี้ ซึ่งการยุบสภาที่เร็วกว่ากำหนดเดิมเล็กน้อยก็ไม่ได้เปลี่ยนมุมมองที่จุดนี้ แต่น่าที่จะมีความหวังให้เศรษฐกิจปีหน้ามีแรงส่งมีความชัดเจนให้สามารถขยายตัวได้ดีขึ้น สุดท้ายเราต้องหาความหวังว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันจะยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นดึงดูดการลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่าย ซึ่งการยุบสภาที่เร็วกว่ากำหนดเดิมเล็กน้อย ก็ไม่ได้เปลี่ยนมุมมองที่จุดนี้ แต่น่าที่จะมีความหวังให้เศรษฐกิจปีหน้ามีแรงส่งมีความชัดเจนให้สามารถขยายตัวได้ดีขึ้น สุดท้ายเราต้องหาความหวังว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันจะยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นดึงดูดการลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายรวมทั้งดึงดูดการท่องเที่ยวจากต่างชาติให้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ในช่วงที่เหลือจากนี้ไป"ดร.อมรเทพ กล่าว |