เกาหลีใต้เป็นประเทศล่าสุดที่ออกมาตรการคว่ำบาตรบริษัท Prince Holding Group หรือ Prince Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ในกัมพูชา ที่ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการฉ้อโกงและขบวนการต้มตุ๋นและฟอกเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และสิงคโปร์ ได้ประกาศขึ้นบัญชีดำไปเรียบร้อยแล้ว การคว่ำบาตรของเกาหลีใต้พุ่งเป้าไปที่บุคคล 15 ราย และนิติบุคคล 132 แห่งที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายของPrince Group โดยบริษัทถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังศูนย์สแกมเมอร์ขนาดใหญ่ในกัมพูชาและเมียนมา โดยใช้แรงงานจากการค้ามนุษย์เป็นเครื่องมือเพื่อหลอกลวงเหยื่อทั่วโลก ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ออกแถลงการณ์วานนี้ (27 พ.ย.) ระบุว่า การขึ้นบัญชีบริษัทดังกล่าวเป็นการตัดสินใจคว่ำบาตรฝ่ายเดียวครั้งประวัติศาสตร์ต่ออาชญากรรมข้ามชาติ และแสดงถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของรัฐบาลในการตอบโต้อาชญากรรมออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงทั้งในและต่างประเทศ เมื่อเดือนต.ค. ที่ผ่านมา เกาหลีใต้และกัมพูชาตกลงที่จะจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อแก้ไขอาชญากรรมออนไลน์ หลังจากนักศึกษามหาวิทยาลัยรายหนึ่งเสียชีวิตจากการถูกทรมานภายในอาคารของแก๊งสแกมเมอร์ เมื่อเดือนส.ค. ทางด้าน Prince Group ออกแถลงการณ์ปฏิเสธเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ผ่านสำนักงานกฎหมาย Boies Schiller Flexner ของสหรัฐฯ โดยระบุว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่มีมูลความจริงและดูเหมือนมีเป้าหมาย เพื่อหาเหตุผลยึดทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์อย่างผิดกฎหมาย การคว่ำบาตรของเกาหลีใต้ ยังพุ่งเป้าไปที่ Huione Group ซึ่งเป็นเครือข่ายทางการเงินอีกแห่งในกัมพูชาคือ ซึ่งถูกสหรัฐฯ แบนด้วยเช่นกัน โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เคยกล่าวหาเมื่อเดือนพ.ค. ว่า บริษัทดังกล่าวสมรู้ร่วมคิดกับอาชญากรไซเบอร์ของเกาหลีเหนือ โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการฟอกเงินที่ได้จากการโจรกรรมทางไซเบอร์ ทั้งนี้ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตร Prince Group ไปเมื่อวันที่ 14 ต.ค. โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กำหนดให้เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ด้านกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยึดบิตคอยน์ มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ ของเฉิน จื้อ (Chen Zhi) ประธาน Prince Group ขณะที่สิงคโปร์ยึดทรัพย์สินที่เชื่อมโยงกับกลุ่มนี้ไปแล้วกว่า 150 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งรวมถึงบัญชีธนาคาร บัญชีหลักทรัพย์ และเงินสด ไปเมื่อเดือนต.ค. ที่มา CNBC 
|