TOP เผยไตรมาส 3/68 พลิกมีกำไรสุทธิ 2,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151% หลังราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้น หนุนมีกำไรสต๊อกน้ำมัน 1,508 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 12,126. ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% จากบุ๊กรายการพิเศษ นายบัณฑิต ธรรมประจําจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 2,146.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 4,217.86 ล้านบาท หรือคิดเป็นกําไรสุทธิ 0.96 บาทต่อหุ้น ในไตรมาส 3/68 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มอุปทานตึงตัว ทั้งจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงตึงเครียด รวมถึงสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการคว่ำ ทําให้กลุ่มไทยออยล์มีกําไรจากสต๊อกนํ้ามัน 1,508 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนจากสต๊อกนํ้ามัน 5,380 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้มีกําไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามัน (Accounting GIM) อยู่ที่ 7.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มที่ 228 พันบาร์เรลต่อวัน ลดลงจากไตรมาส 2/68 จากการปิดซ่อมบํารุงครั้งใหญ่ตามวาระ (Major Turnaround) สําหรับหน่วยกลั่นนํ้ามันดิบหน่วยที่ 3 (Crude Distillation Unit 3 : CDU-3) และหน่วยอื่นๆ ในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2568 กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 80,049 ล้านบาท และมี EBITDA 3,897 ล้านบาท เมื่อรวมขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน กําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ กําไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ ค่าใช้จ่ายดําเนินงานต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ และค่าเสื่อมราคา 
ส่วนงวด 9 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 12,126.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,191.87 ล้านบาท หรือคิดเป็นกําไรสุทธิ 5.43 บาทต่อหุ้น โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปรับลดน้อยลง ทำให้รับรู้ขาดทุนสต๊อกน้ำมันลดลง 2,321 ล้านบาท ทำให้มีกําไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามัน (Accounting GIM) อยู่ที่ 5.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากชงเดียวกันปีก่อน และมีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ 284 พันบาร์เรลต่อวัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการปิดซ่อมบํารุงครั้งใหญ่ตามวาระ (Major Turnaround) ขณะที่มีการบันทึกกําไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้เพิ่มขึ้น 2,919 ล้านบาท เนื่องจาก กลุ่มไทยออยล์ซื้อหุ้นกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ 633 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 513 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากช่วงเดียวกันปีก่อน รวมทั้งมีการรับรู้ส่วนแบ่งกําไรพิเศษจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ซึ่งเกิดจากการต่อรองราคาจากการเข้าซื้อธุรกิจในประเทศสิงคโปร์ จํานวน 7,044 ล้านบาท กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 285,405 ล้านบาท และ EBITDA 11,638 ล้านบาท เมื่อรวมขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน กําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ กําไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ ส่วนแบ่งกําไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมซึ่งรวมกําไรจากการต่อรองราคาการเข้าซื้อธุรกิจในสิงคโปร์ ค่าใช้จ่ายดําเนินงาน ต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ และค่าเสื่อมราคา ส่งผลให้ผล ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 กลุ่มไทยออยล์มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 394,476 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อน14,534 ล้านบาท สาเหตุหลักจากเงินสด รายการเทียบเท่าเงินสด และเงินลงทุนระยะสั้นลดลง สาเหตุหลักมาจากการจ่ายคืนเงินกู้ยืมระยะยาว การไถ่ ถอนหุ้นกู้ก่อนกําหนด และการจ่ายเงินปันผล ประกอบกับสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นลดลง จากสินค้าคงเหลือที่ปรับลดลงตามราคานํ้ามันดิบและราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลง ขณะที่หนี้สินรวมของกลุ่มไทยออยล์อยู่ที่ 219,760 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อน 23,066 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากเงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ (รวมส่วนที่ถึงกําหนดชําระภายในหนึ่งปี) ลดลงจากการไถ่ถอน หุ้นกู้และชําระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวก่อนครบกําหนด ทั้งนี้ส่วนของผู้ถือหุ้นของกลุ่มไทยออยล์รวมทั้งสิ้น 174,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 8,531 ล้านบาท สาเหตุจากผลการดําเนินงานสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปีหักเงินปันผลจ่าย 
|