โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ประเมินว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะให้ผลตอบแทนที่แข็งแกร่งในระยะยาวตลอดทศวรรษหน้า โดยคาดว่าผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ จะอยู่ที่ 7.7% ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับค่ามัธยฐานในอดีต แม้ระดับมูลค่าหุ้นปัจจุบันจะยังอยู่ในระดับสูงก็ตาม ปีเตอร์ ออพเพนไฮเมอร์ (Peter Oppenheimer) นักวิเคราะห์ ระบุในรายงาน Building Long-Term Returns ว่า แนวโน้มดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น การเติบโตเชิงมูลค่าที่แท้จริง, ความสามารถในการทำกำไร และการจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น โกลด์แมนใช้โมเดลวิเคราะห์แบบ “building-block” ซึ่งคำนวณผลตอบแทนรวมจากการเติบโตของกำไร การเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหุ้น และเงินปันผล โดยปรับให้เหมาะกับลักษณะเฉพาะของแต่ละภูมิภาค โดยออพเพนไฮเมอร์ระบุว่า “การเติบโตของกำไร ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สุดของผลตอบแทน” โดยคาดว่ากำไรทั่วโลก รวมถึงการซื้อหุ้นคืน จะเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้นราว 6% ต่อปี ขณะที่เงินปันผลจะเป็นตัวแปรสำคัญอีกส่วนที่ช่วยหนุน ส่วนมูลค่าหุ้นคาดว่าจะผ่อนลงเล็กน้อยจากระดับสูงในปัจจุบัน 
ด้านคาดการณ์รายภูมิภาค มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยโกลด์แมน แซคส์ประเมินว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.5% ต่อปี ซึ่งขับเคลื่อนจากกำไรและเงินปันผลที่แม้จะไม่สูงมากนัก ขณะที่การซื้อหุ้นคืนช่วยชดเชยแรงกดดันจากมูลค่าหุ้นที่เริ่มลดลง ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป คาดให้ผลตอบแทนราว 7.1% โดย “ครึ่งหนึ่งมาจากกำไร และอีกครึ่งหนึ่งจากผลตอบแทนผู้ถือหุ้น” ส่วน ญี่ปุ่น โดดเด่นที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ที่ 8.2% โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) 6% และการเพิ่มการจ่ายผลตอบแทนตามนโยบายรัฐ สำหรับเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) โกลด์แมน แซคส์คาดว่า ผลตอบแทนจะอยู่ที่ 10.3% ต่อปี ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของ EPS ราว 9% และอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 2.7% ขณะที่ ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) จะนำโด่งที่ 10.9% โดยแรงผลักดันหลักมาจากการเติบโตของ EPS ที่แข็งแกร่งในจีนและอินเดีย ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์แนะนำให้นักลงทุน กระจายการลงทุนออกจากสหรัฐฯ และเพิ่มน้ำหนักในตลาดเกิดใหม่ โดยให้เหตุผลว่ากลุ่มนี้มีศักยภาพการเติบโตของ Nominal GDP ที่สูงกว่าและกำลังอยู่ในช่วงปฏิรูประดับโครงสร้าง นอกจากนี้ รายงานยังชี้ว่าทิศทางสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง อาจช่วยเพิ่มผลตอบแทนเมื่อแปลงเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ และเป็นผลดีต่อหุ้นนอกสหรัฐฯ โดยอ้างอิงสถิติในอดีตที่ชี้ว่า ช่วงที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัว มักเป็นช่วงที่ตลาดต่างประเทศทำผลงานได้เหนือกว่าสหรัฐฯ ที่มา Yahoo Finance 
|