ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงหนักในวันพฤหัสบดี (13 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดลดลง 797.60 จุด หลังถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้น Nvidia และกลุ่มหุ้น AI ขนาดใหญ่ ขณะที่นักลงทุนปรับลดความคาดหวังต่อโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ท่ามกลางความกังวลเงินเฟ้อและมุมมองที่แตกต่างกันของผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,457.22 จุด ลดลง 797.60 จุด หรือ 1.65% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,737.49 จุด ลดลง 113.43 จุด หรือ 1.66% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 22,870.36 จุด ลดลง 536.10 จุด หรือ 2.29% ดัชนีหลักทั้ง 3 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวร่วงลงในอัตรามากที่สุดในรอบกว่า 1 เดือน ก่อนหน้านี้ดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติสูงสุด 2 วันติดต่อกัน หลังนักลงทุนขายหุ้นเทคโนโลยีและหมุนเงินเข้ากลุ่มเฮลธ์แคร์ แม้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง หลังเผชิญภาวะชัตดาวน์เป็นเวลานานถึง 43 วัน จะช่วยคลายความกังวลบางส่วน แต่การหยุดชะงักก่อนหน้านี้ ส่งผลกระทบต่อการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจและเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาด ซึ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา คณะผู้กำหนดนโยบายของเฟดหลายรายส่งสัญญาณลังเลต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ทำให้นักลงทุนปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. เหลือไม่ถึง 50% หลังจากที่เฟดปรับลดดอกเบี้ยไปแล้ว 2 ครั้งในปีนี้ โดยเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและสัญญาณความแข็งแกร่งในตลาดแรงงาน ทั้งนี้ ข้อมูลจากเครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า นักลงทุนประเมินโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือน ธ.ค. อยู่ที่ราว 47% ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่สูงถึง 70% 
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากแรงเทขายอย่างหนักในหุ้นที่เติบโตเด่น เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกังวลเกี่ยวกับมูลค่าที่สูงเกินไปจากกระแส AI โดยหุ้น Nvidia ร่วงลง 3.6%, หุ้น Tesla ดิ่ง 6.6% และหุ้น Broadcom ลดลง 4.3% โดยปีเตอร์ คาร์ดิลโล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านตลาดของ Spartan Capital Securities ระบุว่า ตลาดกำลังเผชิญแรงเทขายเพื่อปรับฐานในหุ้นกลุ่ม AI พร้อมกับหมุนเวียนเงินลงทุนไปยังหุ้นกลุ่มอื่น หุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P 500 พบว่ามี 9 กลุ่มที่ร่วงลง โดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยลดลงมากที่สุด 2.73% รองลงมาคือกลุ่มเทคโนโลยี ลดลง 2.37% ซึ่งภาพสะท้อนการหมุนเงินออกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ทำให้ดัชนี S&P 500 Value Index ซึ่งเป็นหุ้นคุณค่า ปรับขึ้นประมาณ 1% ในสัปดาห์นี้ ขณะที่ดัชนี S&P 500 Growth Index ลดลง 0.6% ด้านความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัว พบว่าหุ้นวอลต์ดิสนีย์ร่วงถึง 7.8% หลังส่งสัญญาณเตรียมรับศึกที่ยืดเยื้อกับ YouTube TV ในประเด็นลิขสิทธิ์ช่องเคเบิล ขณะที่หุ้น Cisco Systems พุ่งขึ้น 4.6% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรและรายได้ทั้งปี จากความต้องการอุปกรณ์เน็ตเวิร์กที่แข็งแกร่ง ด้านหุ้น APA Corp เพิ่มขึ้น 3.3% ขณะที่หุ้นผู้ผลิตอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล Western Digital ร่วง 5.4%, Seagate ดิ่งลงกว่า 7% และ SanDisk ทรุดเกือบ 14% หลัง Kioxia ผู้ผลิตหน่วยความจำของญี่ปุ่นรายงานยอดขายและกำไรลดลง นอกจากนี้ ข้อมูลตลาดแรงงานล่าสุด สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอ โดยรายงานของ ADP ชี้ว่า ภาคเอกชนปลดพนักงานมากกว่า 11,000 คนต่อสัปดาห์จนถึงปลายเดือนต.ค. ขณะที่ข้อมูลของ Indeed แสดงให้เห็นว่า ประกาศรับสมัครงานด้านค้าปลีกลดลง 16% จากปีก่อน ที่มา Reuters 
|