ตลาดหลักทรัพย์แนสแดคคาดการณ์ว่า บริษัทสตาร์ทอัพจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มีแนวโน้มเข้าจดทะเบียนเพิ่มขึ้นในปี 2026 เผยสาเหตุส่วนหนึ่งที่ธุรกิจจากทั้งสองประเทศเข้าระดมทุนในต่างประเทศมากขึ้นมาจากกฎระเบียบที่เข้มงวดในตลาดหุ้นเอเชีย ขณะเดียวกัน แนสแดคเองพยายามเร่งปรับปรุงคุณภาพการนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียน ด้วยการนำเสนอกฎเกณฑ์ที่ทำให้บริษัทจีนเข้าเทรดในสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น บ๊อบ แมคคูอีย์ (Bob McCooey) รองประธานตลาดหลักทรัพย์แนสแดค เผยว่า มีบริษัทจากเอเชียเป็นจำนวนมากที่ต้องการเข้าเทรดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปีนี้ จากแรงหนุนของตลาดหุ้นที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นของนักลงทุน บริษัทในเอเชียเหนือน่าจะเป็นกลุ่มต่อไปที่เข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ถ้าเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น แถบนี้น่าจะมีการเติบโตสูงที่สุด แมคคูอีย์ เผยมุมมองต่อญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ระหว่างการประชุมประจำปีของ Chinese Finance Association เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และยังระบุว่า จะมีบริษัทในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่เทคโนโลยี, ฟินเทค, การดูแลสุขภาพ และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ตั้งเป้าเข้าจดทะเบียนในตลาดแนสแดค สำหรับปีนี้ มีบริษัทจากเอเชียตะวันออกเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากเป็นประวัติการณ์ หลังซบเซาในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง ข้อมูลจาก Dealogic ระบุว่า ณ วันที่ 13 พ.ย. มีบริษัทญี่ปุ่น 8 แห่ง และบริษัทเกาหลีใต้ 1 แห่ง ได้เข้าจดทะเบียนในสหรัฐฯ ในปีนี้ โดยทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแดค ยกเว้นเพียงแห่งเดียว นอกจากนี้ ยังมีบริษัทไต้หวัน 5 แห่งที่เสนอขายหุ้น โดยระดมทุนได้ 109 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการเสนอขายหุ้น IPO จากเอเชียเกือบทั้งหมดในปีนี้ เป็นบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดเล็ก 
มาร์คุส แทน (Marcuz Tan) ซีอีโอของ Boustead APEX ซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทเอเชียที่ต้องการจดทะเบียนในสหรัฐฯ กล่าวว่า บริษัทได้ช่วยเตรียมการเข้าจดทะเบียนในสหรัฐฯ ให้กับบริษัทเอเชียหลายสิบแห่ง และคาดว่า จะมีบริษัทเกาหลีใต้เปิดตัวในตลาดสหรัฐฯ มากขึ้นในปีหน้า เนื่องจากผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพเหล่านี้มีมุมมองที่เปิดกว้างในระดับโลกมากกว่าผู้บริหารรุ่นก่อน แต่ก็ยังมีความท้าทายในแง่ภาษาและการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ทางด้านเอนนา เหวิง (Enna Weng) กรรมการผู้จัดการ Arc Group Securities กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเพิ่มความเข้มงวดเรื่องข้อกำหนดการจดทะเบียนในปีนี้ ทำให้บริษัทหลายร้อยแห่งเสี่ยงต่อการถูกเพิกถอนออกจากตลาด ขณะเดียวกัน ก็ทำให้บริษัทเหล่านี้หันไปมองหาโอกาสในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่การปฏิรูปธรรมาภิบาลขององค์กรญี่ปุ่นยังช่วยสร้างมุมมองที่ดีของนักลงทุน ทำให้การจดทะเบียนในสหรัฐฯ มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ทั่วเอเชียต่างเร่งแข่งกันปฏิรูประบบธรรมาภิบาล โดยพยายามปรับปรุงการเข้าถึงและคุณภาพของตลาด ขณะที่ทางการต่างเร่งดึงเงินทุนจากต่างประเทศ และยกระดับการคุ้มครองนักลงทุนรายย่อย ขณะที่ความกลัวว่าจะเสียโอกาสในการทำ IPO ที่มีแนวโน้มดีให้กับสหรัฐฯ ยังเป็นแรงกระตุ้นในการปฏิรูปตลาด หากมองในภาพรวม ตลาดสหรัฐฯ มีสภาพคล่องและความโปร่งใสที่มากกว่า รวมถึงโอกาสในการระดมทุนที่ดีกว่า ฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์กำลังร่วมมือกับแนสแดคเพื่อเปิดตัวโครงการที่สตาร์ทอัพสามารถจดทะเบียน ได้พร้อมกันทั้งสองตลาด ซึ่งคาดว่า จะเริ่มดำเนินการช่วงกลางปีหน้า แมคคูอีย์ เสริมว่า เทรนด์ SPAC (Special Purpose Acquisition Companies) บริษัทที่ตั้งขึ้น เพื่อเข้าซื้อกิจการโดยเฉพาะ กลับมาอีกครั้งในปีนี้ ตามข้อมูลของ EY บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ โดย SPAC มีสัดส่วนในการจดทะเบียนที่ค่อนข้างสูงในปีนี้ โดย Harvard Ave Acquisition ซึ่งเป็น SPAC ของเกาหลีใต้ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นแนสแดคเมื่อเดือนต.ค. ในอดีต การจดทะเบียนของแนสแดค ส่วนใหญ่มาจากบริษัทจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแมคคูอีย์กล่าวว่า แนวโน้มตอนนี้เคลื่อนไปทางเอเชียเหนือแล้ว และกำลังพยายามดึงบริษัทในตะวันออกกลางให้มาจดทะเบียนในแนสแดคเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากอิสราเอล แม้เอเชียจะแซงหน้าประเทศอื่น ๆ ในการทำ IPO ในสหรัฐฯ แต่มีแนวโน้มระดมเงินได้น้อยกว่าบริษัทอเมริกัน โดยจนถึงปีนี้ สตาร์ทอัพ 113 แห่งจากเอเชีย ระดมทุนได้ 2,580 ล้านดอลลาร์ จากการเข้าจดทะเบียนในสหรัฐฯ คิดเป็น 57% ของยอด IPO ต่างประเทศทั้งหมด ส่วนบริษัทที่ไม่ใช่เอเชีย รวมถึงบริษัทอเมริกัน ระดมทุนได้ 59,600 ล้านดอลลาร์ ย้อนไปในปี 2024 บริษัทเอเชียเข้าจดทะเบียนในสหรัฐฯ 79 รายการ โดยจีนและฮ่องกง ยังคงครองสัดส่วนการจดทะเบียนในสหรัฐฯ โดยมีบริษัท 57 แห่ง จากทั้งสองภูมิภาคที่เริ่มซื้อขายในสหรัฐฯ ในปีนี้ ตามข้อมูล ณ วันที่ 11 พ.ย. ที่มา Nikkei Asia 
|