“เอกนิติ” เปิดแผนการคลังระยะปานกลาง เดินหน้าคุมงบเข้ม ตั้งงบสมดุลได้ในปี 72 พร้อมคงหนี้สาธารณะไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี พร้อมปรับโครงสร้างรายได้-รายจ่ายรัฐ ดึงแหล่งเงินนอกงบประมาณ หนุนลงทุนเพื่อไม่เพิ่มภาระหนี้ประเทศ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยกรอบการคลังระยะปานกลางว่า กรอบการคลังระยะปานกลาง เป็นหนึ่งในรากฐานของโครงการ Quick Big Win คือการเสริมสร้างความมั่นคงทางการคลัง สิ่งหนึ่งที่คณะกรรมการนโยบายการคลัง ซึ่งประกอบด้วย 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งได้ตกลงว่าจะทำแผนนี้ให้ชัดเจน 3 เรื่อง รวมถึงจะเห็นงบสมดุลได้ภายในปี 2572 ขณะที่หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี 
1.จะกำหนดกรอบการคลังให้เข้มงวดขึ้น เช่น การตั้งงบกลาง โดยจะตั้งงบกลางจากเดิม กรอบค่อนข้างกว้าง แต่วันนี้จะตั้งไม่เกิน 3% ของงบประมาณรายจ่าย 2.งบใช้หนี้ จะตั้งไม่ต่ำกว่า 4% ของงบประมาณรายจ่าย 3.อะไรที่เป็นงบประมาณผูกพันที่ขอระหว่างปี กำหนดให้สูงสุดไม่เกิน 5% ขณะที่หลายคนเป็นห่วงเรื่องการใช้นโยบายกึ่งการคลังผ่านมาตรา 28 ของพ.ร.บ.วินัยการคลังของประเทศนั้น จะทำกระบวนการภายในให้ชัดเจน โดยมีกรอบไม่เกิน 32% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี “สมัยก่อนจะต่างคนต่างขอ ไม่มีใครที่เป็นระบบ วันนี้ ครม.มอบให้นโยบายการคลัง ให้ไปหารือเพื่อกำหนดรายละเอียดและทำแนวทาง โดยวันนี้จะมีรายละเอียดว่าต้องทำอย่างไร มีคนทำระบบในการพิจารณาด้วย ส่วนการทำงบสมดุลนั้น วันนี้มาตรฐานการคลังของไทยอยุ่ที่ 3% ขาดดุลได้ไม่เกิน 3% ปีที่แล้ว 4.4% โดยในปี 2572 จะต่ำกว่า 3%”นายเอกนิติ กล่าว ขณะที่โครงสร้างทางภาษี ทางครม.ได้มอบให้กระทรวงการคลัง กับสำนักงบประมาณมาดำเนินการและพิจารณาในเรื่องการเพิ่มรายได้ การลดรายจ่าย โดยมีเป้าหมายว่าในด้านรายได้ตามแผนระยะปานกลาง จะเพิ่มรายได้ให้ไม่ต่ำกว่า 15.1% ของจีดีพี ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 14.8% ส่วนรายจ่ายอยู่ที่ 18% จากปัจจุบันที่ 19% กว่า ขณะเดียวกันจะมีนโยบายที่ชัดเจนว่า แม้สัดส่วนงบประมาณจะลดลง แต่จะพิจารณาจากแหล่งเงินอื่นเพื่อดำเนินการลงทุนในการลงทุนของภาครัฐ เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะมาช่วยเพิ่มงบลงทุนให้กับประเทศได้ โดยไม่เป็นภาระของประเทศ รวมถึงการลงทุนร่วมระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) ซึ่งจะไม่เป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะในระยะข้างหน้าด้วย นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการดำเนินนโยบายการคลังในระยะปานกลาง ภาครัฐจึงมุ่งเน้นการฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความมั่งคงทางการคลังและรักษาระดับความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้แนวคิด Credible โดยให้ความสำคัญกับการปรับสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ภายใต้กรอบวินัยการคลัง ความโปร่งใส และเป็นรูปธรรมในทุกมิติของการบริหารจัดการด้านการคลัง โดยมีการดำเนินการตามแนวทาง ดังนี้ -การเปิดเผยแนวทางการจัดการด้านการคลังทั้งด้านรายได้และทรัพย์สิน รายจ่าย และหนี้สาธารณะอย่างเป็นธรรมให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม โดยด้านรายได้ มุ่งเน้น การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยนำระบบงานดิจิทัลและ Big Data มาใช้เพื่อขยายฐานภาษีและเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบรายบุคคลและผู้ประกอบการ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้โดย Data Lake ของกระทรวงการคลังมีเป้าหมายสำคัญในการรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายฐานในการจัดเก็บรายได้ให้ครบถ้วน อีกทั้งยังนำมาช่วยออกแบบ วิเคราะห์ และประเมินผลนโยบายการคลัง อันเป็นการสร้างความมั่นคงทางการคลังของรัฐและเพื่อประโยชน์สาธารณะต่อไป รวมทั้งทบทวนกฎหมายลำดับรองและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต รวมถึงรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการจัดเก็บภาษี นอกจากนี้ จะปรับเพิ่มอัตราการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง รวมทั้งเพิ่มรายได้และ มูลค่าในการบริหารทรัพย์สินอื่น ๆ ที่รวมถึงทุนหมุนเวียน หลักทรัพย์ ที่ราชพัสดุ ราคาประเมิน และเหรียญกษาปณ์ -การดำเนินมาตรการภาษีของหน่วยงานจัดเก็บ ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและพิจารณาความเหมาะสมของค่าลดหย่อนบางประเภท การเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน การปรับปรุงโครงสร้างสินค้าที่สร้างมลภาวะ ต่อสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงโครงสร้างภาษีกลุ่ม Sin Tax ตลอดจนการเก็บอากรขาเข้าจากสินค้ามูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ควบคู่กับการดำเนินมาตรการเทียบเท่ากับการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.5% (เป็นจัดเก็บที่อัตรา 8.5%) และอีก 1.5% (เป็นจัดเก็บที่อัตรา 10%) ในปีงบประมาณ2571 และ 2573 ตามลำดับ ทั้งนี้ ในกรณีการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม รัฐบาลจะต้องเสนอมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดกับประชาชนและระบบเศรษฐกิจไปในคราวเดียวกัน ด้านรายจ่าย ให้ความสำคัญกับ การดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล การจัดทำงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะหมวดค่าใช้จ่ายบุคลากร ด้านสวัสดิการประชาชน ด้านภาระค่ารักษาพยาบาล ด้านค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค ด้านการดำเนินงานของหน่วยงาน การจัดทำแผนงาน/โครงการ หน่วยรับงบประมาณควรกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด และผลลัพธ์ ที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน หรือส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย หน่วยรับงบประมาณควรให้ความสำคัญ กับการจัดทำงบประมาณในมิติพื้นที่ (Area-Based Budgeting) และ การจัดทำงบประมาณโดยพิจารณาความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณานำเงินนอกงบประมาณมาดำเนินภารกิจของหน่วยรับงบประมาณเป็นลำดับแรก ขณะเดียวกันให้พิจารณาแหล่งเงินอื่นเพื่อดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐ เช่น เงินกู้ การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) และสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินโครงการในอนาคต ให้พิจารณาใช้จ่ายจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเงินกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFIF)เพื่อลดภาระงบประมาณของประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์ภาครัฐ เป็นต้น 
|