SCGP คาดผลงาน Q4/68 ยังโดดเด่น รับผลบวกการเติมสต๊อกสินค้าช่วงปลายปี-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของรัฐบาล เร่งปิดดีล "MYPAK" ในอินโดฯ ธ.ค.นี้ คาดรับรู้ยอดขายเพิ่มเกือบ 2,000 ลบ./ปี พร้อมมั่นใจ EBITDA ปีนี้โตไม่ต่ำกว่าปีก่อน นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่าแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/68 คาดว่าจะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากฐานปีก่อนนั้นมีตัวเลขที่ติดลบเล็กน้อย แต่ปีนี้สถานการณ์กำลังปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งการสร้างการเติบโตในภูมิภาคค่อนข้างชัดเจน หลังจากบริษัทมีการ M&P โรงงานกล่องบรรจุภัณฑ์กระดาษในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีกำลังการผลิต 1.4 แสนตันต่อปี และมียอดขายเกือบ 2,000 ล้านบาทต่อปี โดยจะเริ่มรับรู้เข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปี 69 รวมถึงการขยายบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคในอาเซียนเพื่อผลการดำเนินที่ดีโดยเฉพาะในประเทศเวียดนามที่อุตสาหกรรมด้านพอลิเมอร์ที่ดีมาก นอกจากนี้กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งช่วยสร้างโอกาสการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน 
ทั้งนี้ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในไตรมาสที่ 4/68 มีแนวโน้มเติบโตจากการเตรียมเพิ่มสต๊อกสินค้าช่วงปลายปีโดยเฉพาะอาหาร,เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อเตรียมรับการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่และเทศกาลเฉลิมฉลอง ประกอบกับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น มาตรการคนละครึ่ง มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ จะส่งผลดีต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาขายบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์คาดว่าจะทรงตัว ส่วนราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อเคมีละลายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความต้องการที่มีแนวโน้มฟื้นตัว ขณะที่บริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อหุ้นแบบมีเงื่อนไขเพื่อเข้าถือหุ้นสามัญในสัดส่วน 100% ใน PT Prokemas Adhikari Kreasi (MYPAK) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษคุณภาพชั้นนำในอินโดนีเซีย ซึ่งมีฐานการผลิตตั้งอยู่ที่เมือง Bekasi ทางตะวันตกของเกาะชวาที่ใกล้กับฐานการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ของ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. และมีฐานลูกค้าเป็นบริษัทข้ามชาติและแบรนด์สินค้าชั้นนำในตลาดอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศ มูลค่ากิจการไม่เกิน 455 พันล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 956 ล้านบาท อย่างไรก็ตามดีลดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการเข้าซื้อกิจการ และคาดว่าจะปิดดีลได้ภายในไตรมาสที่ 4/68 หรือช่วงเดือน ธ.ค.นี้ ในปี 2567 MYPAK มีรายได้ 846 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 1,777 ล้านบาท) และทรัพย์สิน 1,272 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 2,670 ล้านบาท) โดยมีกำลังการผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกคุณภาพสูงอยู่ที่ 144,000 ตัน ต่อปี
"นับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาส Cross-selling จากฐานลูกค้ากลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในและต่างประเทศ สามารถนำเทคโนโลยีของ MYPAK มาช่วยผลักดันการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงที่ตั้งเชิงกลยุทธ์จะช่วยสร้างประสานประโยชน์ (Synergy) กับเครือข่ายธุรกิจ และเสริมศักยภาพการบูรณาการห่วงโซ่อุปทานกับธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถการแข่งขัน และรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย" นายวิชาญ กล่าว ด้านเป้าหมายกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปีนี้ จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ประมาณ 18,000 ล้านบาทนั้น มองว่าวอลุ่มฯที่ผ่านมาเติบโต 3% จากปีก่อน ขณะที่ปริมาณการส่งออกไปจีนปรับตัวลดลง แต่ด้วยราคาขายที่ไม่เติบโต จึงทำให้ EBITDA ทั้งปีนี้คงจะย่อตัวลงตามยอดขายที่ลดลง อย่างไรก็ตามบริษัทยังมั่นใจว่าทั้งยอดขายและ EBITDA ปีนี้จะทำได้ไม่น้อยกว่าปีก่อนที่มียอดขาย 132,784 ล้านบาท และ EBITDA ที่ 16,127 ล้านบาท *** เปิดงบ Q3/68 กำไรโต 65% SCGP รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 953.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 577.34 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย ไตรมาสนี้ รายได้จากการขายรวม 30,438 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากราคาขายที่ปรับลดลง ขณะที่ปริมาณการขายสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้น EBITDA เท่ากับ 4,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมี EBITDA margin 14% ส่วนงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 2,862.89 ล้านบาท ลดลง 24% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,755.66 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 3% โดยรายได้จากการขายรวม 94,204 ล้านบาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากราคาขายที่ลดลงในสายธุรกิจ บรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มราคาตลาดในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ปริมาณขายปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการภายในประเทศของภูมิภาคอาเซียน ส่วน EBITDA เท่ากับ 12,643 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA margin เท่ากับ 13% โดยมีต้นทุนขายเท่ากับ 77,198 ล้านบาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นต้นทุนขายของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร 58,176 ล้านบาท สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ 17,231 ล้านบาท และธุรกิจรีไซเคิล 5,049 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 บริษัทได้จัดหาวัตถุดิบจากแหล่งภายในประเทศประมาณ 65% ผ่านศูนย์จัดการวัสดุรีไซเคิลและเครือข่ายพันธมิตร 182 แห่ง พร้อมทั้งนำเข้าวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากต่างประเทศประมาณ 35% จากยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และโอเชียเนีย นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาความสามารถในการจัดหาผ่านเครือข่ายในธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ ประกอบด้วย Peute ในประเทศเนเธอร์แลนด์ และ Jordan Trading ในสหรัฐอเมริกา ช่วยเสริมความมั่นคงในการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบ RCP และสร้างความยืดหยุ่น ในการจัดการสัดส่วนวัตถุดิบระหว่างในประเทศและต่างประเทศ 
|