
นายกฯ ทากาอิจิ ใช้วลีมังงะดัง “Attack on Titan” กลางเวทีการเงินซาอุฯ ประกาศลั่น “Japan is back” ส่งสารท้าดวลเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเข้าประเทศ อะไร คือ เบื้องลึกภายใต้วาทะที่สั่นสะเทือนวงการนี้ และแรงกระเพื่อมจากการตื่นตัวของพญาอินทรีแห่งเอเชียตะวันออก จะส่งผลอย่างไรต่อสมดุลเศรษฐกิจและโอกาสของประเทศไทย? มาร่วมถอดรหัสยุทธศาสตร์นี้ไปพร้อมกัน

เมื่อเร็วๆนี้ คุณ ซานาเอะ ทากาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น สร้างความฮือฮาในแวดวงการเงินระดับโลก ระหว่างขึ้นกล่าวปาฐกถาในงานประชุมการเงินนานาชาติที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย โดยเธอได้หยิบยกประโยคเด็ดจากมังงะยอดฮิตระดับโลกอย่าง “Attack on Titan” (ผ่าพิภพไททัน) มาใช้เชิญชวนนักลงทุน
หลังจากเกริ่นถึงกระแสความนิยมของมังงะและอนิเมะญี่ปุ่นในซาอุดีอาระเบีย นายกฯ ทากาอิจิ ได้กล่าวประโยคทองบนเวทีว่า
“หยุดพูด แล้วทุ่มหมดหน้าตักมาที่ฉัน!” (Just shut your mouths. Invest everything in me!)
ก่อนจะขยายความต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ดิฉันคิดว่าพวกคุณคงเข้าใจสิ่งที่ดิฉันต้องการจะสื่อ… ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว (Japan is back) มาลงทุนที่ญี่ปุ่นกันเถอะ“
ดันเศรษฐกิจโตควบคู่ความเชื่อมั่นการคลัง
ในช่วงถาม-ตอบ (Q&A) นายกฯ ทากาอิจิ ย้ำจุดยืนของรัฐบาลว่า เป้าหมายสำคัญ คือ การผลักดันศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการทางการคลัง โดยกลยุทธ์หลัก คือ การใช้จ่ายงบประมาณเชิงรุก เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และค่อยๆ ปรับปรุงตัวเลขหนี้สาธารณะให้ดีขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน
ครั้งแรกของงานประชุม Future Investment Initiative (FII) หรือที่รู้จักกันในฉายา “Davos in the Desert” ครั้งนี้ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ เพราะเป็นการจัดงานในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างญี่ปุ่นและซาอุดีอาระเบีย
งานนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม มีผู้บริหารระดับสูงและผู้เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน ทั้งจากในญี่ปุ่นและต่างประเทศ ตบเท้าเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง รวมถึง คีย์แมนสำคัญอย่าง มาซาโยชิ ซัน ประธานและซีอีโอของ SoftBank Group ก็ได้ขึ้นพูดในเวทีนี้ด้วย
สานต่อ Vision 2030 ปัจจุบัน ญี่ปุ่นและซาอุดีอาระเบียกำลังเร่งเครื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เพื่อสอดรับกับแผนปฏิรูป “Vision 2030” ของรัฐบาลซาอุฯ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาภาคเอกชนให้เติบโต
“เรากำลังเร่งความพยายามในการส่งเสริมความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ระหว่างวิสาหกิจของญี่ปุ่นและซาอุดีอาระเบียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น” นายกฯ ทากาอิจิ กล่าวทิ้งท้าย
การกล่าวปาฐกถาของ นางซานาเอะ ทากาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในงานประชุม Future Investment Initiative (FII) หรือที่รู้จักกันในนาม “Davos in the Desert” ณ กรุงโตเกียว เมื่อเร็วๆ นี้ มิได้เป็นเพียงการกล่าวเปิดงานตามพิธีการทูตทั่วไป แต่ถือเป็นการส่งสัญญาณครั้งสำคัญถึงทิศทางใหม่ของ เศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านการผสมผสานวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์ (Pop Culture) เข้ากับนโยบายการคลังที่ดุดัน
การหยิบยกประโยคจากมังงะชื่อดัง Attack on Titan ที่ว่า “หยุดพูด! แล้วทุ่มหมดหน้าตักมาลงทุนที่ฉัน!” สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจและยุทธศาสตร์เชิงรุกที่น่าจับตามอง เราลองมาวิเคราะห์ถึงนัยสำคัญและความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจที่ซ่อนอยู่ภายใต้วาทะดังกล่าว
Soft Power : จากความบันเทิงสู่เครื่องมือต่อรองทางเศรษฐกิจ
การที่ผู้นำระดับสูงเลือกใช้วาทะจากอนิเมะในเวทีระดับโลก สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจใน “สินทรัพย์ทางวัฒนธรรม” ของญี่ปุ่นที่มีต่อตลาดตะวันออกกลาง โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรคนรุ่นใหม่จำนวนมากและเปิดรับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างสูง
การกระทำนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างสีสัน แต่เป็นกลยุทธ์จิตวิทยาที่ต้องการสื่อสารว่า ญี่ปุ่นพร้อมที่จะปรับตัวเข้าหาคู่ค้า และใช้ Soft Power เป็นประตูเบิกทางสู่การเจรจาเม็ดเงินลงทุนระดับมหาศาล การเชื่อมโยงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงบริบทของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติซาอุดีอาระเบีย (PIF) ที่ปัจจุบันมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมเกมและสื่อบันเทิงทั่วโลก
นัยของ “Japan is back” และความท้าทายทางการคลัง
วาทกรรม “Japan is back” เป็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติภารกิจนี้ มาพร้อมกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง
นายกรัฐมนตรีทากาอิจิ ได้ระบุถึงแนวทางการบริหารที่มุ่งเน้น “การเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับวินัยทางการคลัง” ซึ่งในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ถือเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความสมดุลอย่างสูง การใช้จ่ายงบประมาณเชิงรุกเพื่อกระตุ้น GDP อาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขหนี้สาธารณะ การที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศจะ “ปรับปรุงตัวเลขหนี้สาธารณะให้ดีขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน” จึงเป็นสิ่งที่ตลาดจับตามองว่า จะสามารถสร้างสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการรักษาสเถียรภาพค่าเงินเยนได้มีประสิทธิภาพเพียงใด
พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ Vision 2030 และห่วงโซ่อุปทาน
การจัดงาน FII ในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในวาระครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ซาอุดีอาระเบีย มองญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรหลักในการขับเคลื่อน Vision 2030 เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมัน
ความร่วมมือนี้ กำลังก้าวข้ามจากมิติของ “พลังงาน” ไปสู่ “เทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทาน” การปรากฏตัวของ มาซาโยชิ ซัน ประธาน SoftBank Group ในงานนี้ ตอกย้ำถึงบทบาทของญี่ปุ่นในฐานะแหล่งเทคโนโลยีขั้นสูงที่ซาอุดีอาระเบียต้องการดึงไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและภาคเอกชนในประเทศ ความร่วมมือนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการลงทุนไขว้ ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นในอนาคตอันใกล้
สรุป : วาทะที่ดุดันของนายกรัฐมนตรีทากาอิจิ เป็นมากกว่ามุกตลกบนเวที แต่คือ การประกาศศักราชใหม่ของการทูตเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่กล้าเสี่ยงและมั่นใจ การดึงดูดเม็ดเงินจากซาอุดีอาระเบีย ผ่านกลไก Soft Power และความร่วมมือทางเทคโนโลยี อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้คำว่า “Japan is back” กลายเป็นความจริงทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงคำโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง
การขยับตัวด้วยยุทธศาสตร์ที่ดุดันของนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทากาอิจิ ไม่เพียงแต่เป็นการปลุกชีพเศรษฐกิจภายในของญี่ปุ่น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนและโอกาสสำหรับประเทศไทย ซึ่งอยู่ในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของทุนญี่ปุ่น และมิตรประเทศที่เพิ่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ระดับปกติกับซาอุดีอาระเบีย
บทสรุป : สำหรับประเทศไทย ในวันที่ Japan is back และซาอุดีอาระเบียกำลังทะยานไปข้างหน้า ประเทศไทยไม่สามารถดำเนินนโยบายการทูตเศรษฐกิจแบบ “ตั้งรับ” ได้อีกต่อไป เราจำเป็นต้องเร่งเครื่องเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) และปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเอื้อต่อการลงทุน (Ease of Doing Business) เพื่อดึงดูดให้เม็ดเงินที่กำลังไหลเวียนระหว่างโตเกียวและริยาด ได้ไหลผ่านมายังเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทยด้วย ต้องอย่าลืมว่า ญี่ปุ่นยังคงเป็นนักลงทุนหลักในไทย โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2025 ไทยอนุมัติการลงทุนต่างชาติ 869 ราย มูลค่ารวม 276.74 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยญี่ปุ่นและสิงคโปร์เป็นนักลงทุนหลัก และ EEC ยังคงเป็นเป้าหมายหลักคิดเป็น 54% ของ FDI ทั้งหมด มิเช่นนั้น เราอาจเป็นได้เพียงผู้ชมในมหรสพทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ของโลก
อ้างอิง japantimes,nippon,japannews และ yahoofinance