
ในยุคที่ธุรกิจท่องเที่ยวต้องมีมากกว่า “ความบันเทิง” เพื่อดึงดูดผู้คน เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ แลนด์มาร์กท่องเที่ยวยามค่ำคืนที่เคยเปรี้ยงปร้างจากโชว์คาบาเร่ต์และบรอดเวย์ กำลังพลิกบทบาทครั้งสำคัญในรอบทศวรรษ
ในยุคที่การท่องเที่ยวไทยก่อนโควิด-19 เติบโตถึงขีดสุด “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” เคยเป็นแลนด์มาร์กสำคัญริมเจ้าพระยา ที่โด่งดังระดับโลกในฐานะแหล่งบันเทิงยามค่ำคืน ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยโชว์ “คาลิปโซ คาบาเร่ต์” และ “บรอดเวย์โชว์” ที่เรียกเสียงปรบมือแน่นทุกรอบ สร้างสีสัน ความคึกคัก และรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบถล่มทลาย

แต่หลังยุคโควิด-19 ผ่านไป โลกเจอวิกฤต ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะปี 2567 นี้ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เจ้าของโครงการ ได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในการยกระดับเอเชียทีค สู่ “โมเดลการท่องเที่ยวที่มีความหมายและยั่งยืน” (Meaningful & Sustainable Tourism) เพื่อสอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์ (Brand Values)
ธุรกิจท่องเที่ยวไม่อาจอยู่ได้ด้วยงาน “โชว์” อีกต่อไป AWC จึงเลือกหันหัวเรือครั้งใหญ่ เปลี่ยนจาก “เพียงแค่สถานที่พักผ่อน” สู่การเป็น “ศูนย์กลางการเรียนรู้สร้างจิตสำนึกเพื่อโลก” เชื่อมโยงสู่ค่านิยมใหม่ของคนรุ่นนี้ที่ต้องการการท่องเที่ยวที่มีความหมาย (Meaningful Tourism)
สิ่งนี้สอดคล้องกับ Brand Value ของ AWC ที่ยึด 3 แกนใหญ่:
ว่าให้ตรง ๆ ก็คือ การท่องเที่ยวต้องมี Purpose ไม่ใช่แค่ยอดคนเดิน
และนี่คือที่มาของ กับโครงการ “จูราสสิค เวิลด์” : เดอะ เอ็กซ์พีเรียนซ์ (Jurassic World: The Experience) ณ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น โดย AWC ลงทุนมากกว่า 1,400 ล้านบาท เปิดตัวอย่างเป็นทางการ 8 สิงหาคม 2568 ที่เอเชียทีค โดยมีการจับมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง ยูนิเวอร์แซล เดสทิเนชันส์ แอนด์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ (Universal Destinations & Experiences) และ นีออน (NEON) ต้องการสร้างประสบการณ์แบบ “อิมเมอร์ซีฟ” ที่ผสมผสานความบันเทิง วิทยาศาสตร์ และการเรียนรู้
พื้นที่ของโครงการครอบคลุมมากกว่า 10,000 ตารางเมตร พร้อมโซนกว่า 10 โซน Brand Buffet+1 ซึ่งรวมถึงโซนฟอสซิล พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง และร้านอาหารธีมจูราสสิค พร้อมจับกลุ่มครอบครัวและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
AWC เชื่อว่าโครงการนี้จะเป็น “เครื่องจักร” ใหม่ในการฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทย ตั้งเป้าว่าสามารถดึงผู้เข้าใช้บริการเอเชียทีคกลับไปสู่ระดับก่อนโควิด โดยช่วงสุดสัปดาห์ตั้งเป้า 50,000 คน/วัน และวันธรรมดา ~30,000 คน/วัน จากเดิมอยู่ ~20,000 คน/วัน
โดยการเปิดตัวล่าสุด ภายในพื้นที่ มี แฮทช์ โดม (Hatch Dome) โครงสร้างเชิงสัญลักษณ์ของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่าน “การเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์” (Creative Learning) ที่นำไปสู่อนาคตยั่งยืน

Hatch Dome คืออาคารโดมทรงอนาคตริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ออกแบบตามแนวคิด Biophilic Design เชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติ อย่างเป็นระบบ โดยผสานองค์ประกอบจากธรรมชาติ เช่น แสงแดด ลม น้ำ พืชเขียว การมองเห็นวิวธรรมชาติ หรือแม้แต่ลวดลายและวัสดุที่เลียนแบบธรรมชาติ เข้าสู่สถาปัตยกรรมและพื้นที่อยู่อาศัย
เป้าหมายคือการเพิ่มสุขภาวะของผู้คน (well-being) ลดความเครียด และสร้างความรู้สึกผ่อนคลายผ่านธรรมชาติ ไม่ใช่แค่ทำให้สวย แต่ทำให้ “อยู่ดี มีสุข” ในระยะยาวด้วย ทั้งรูปทรง วัสดุ และประสบการณ์ภายใน โดมนี้ไม่ใช่แค่ “นิทรรศการ” แต่เป็น “ประสบการณ์” ใช้ไฟ แสง เสียง และเทคโนโลยีเพื่อกระตุ้นการรับรู้
จุดเด่นที่สุดคือเทคโนโลยี Liminal Space 4D Experience หน้าจอรอบตัวกว่า 160 ตารางเมตรใหญ่สุดในเอเชีย ที่พาผู้ชมเข้าสู่สถานการณ์สมจริงของโลกในระยะเวลา 66 ล้านปี ยุคไดโนเสาร์ ก่อนถึงคราวล่มสลาย ทั้งอดีตและอนาคต
“มันไม่ใช่แค่ดู แต่คือการ ‘เกิดการเรียนรู้จากอดีต’ จนกระตุ้นความรู้สึกอย่างเข้าใจ ว่าโลกจะเป็นอย่างไรหากเรายังไม่เปลี่ยนแปลง เตรียมนับถอยหลังวันสิ้นโลก ”

เมื่อเข้าสู่ประตูแรก จะพบกับห้องยานอวกาศ ปล่อยแสงขึ้นสู่เพดานเพื่อพาผู้ชมไปสู่การเรียนรู้ผ่านแสง สี เสียง และเทคโนโลยีตลอด 8ห้อง ได้แก่:
1.Better World, Better Futureโถงต้อนรับสุดตระการตา พาผู้ชมสู่ห้องเป็นลิฟท์ขนาดใหญ่ที่บรรจุคนเข้าไปในห้องมืด คล้ายกับกำลังยืนอยู่บนยานอวกาศก้าวไปสู่อีกหนึ่งหนึ่ง ต้อนรับด้วยคำพูดกระตุกความคิด นี่คือโอกาสทำเพื่ออนาคตโลก และคนรุ่นถัดไป ก่อนโลกจะล่มสลาย หากไม่เปลี่ยนก็จะไม่มีอนาคตให้เรา
2.Last Human Hope
ห้องแรก จะได้สัมผัสสถานการณ์จำลองภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นถี่ขึ้นในมุมต่างของโลก รุนแรงขึ้น ตั้งแต่ ไฟป่า สัตว์ป่าสูญพันธ์ุ ความแห้งแล้ง น้ำท่วม น้ำแข็งขั้วโลกละลาย บทสรุปกระตุกให้เห็นผลลัพธ์มนุษยชาติไม่อาจดำรงอยู่ได้ หากเราไม่เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อหยุดเวลาโลกแตก
3. Impact Horizon’s Journey
ออกเดินทางผ่านยานอวกาศ จำลองพากลุ่มสุดท้ายผู้รอดชีวิต ย้อนเวลากลับสู่ “แก้ไขปัญหา” สิ่งแวดล้อมของโลก เพื่อเรียนรู้และค้นหาทางรอดของมนุษยชาติ

4. Make Our Choiceโซนเลือกเส้นทางแห่งอนาคต ระหว่าง “การเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืน” หรือ “การเดินตามทางเดิมสู่ความเสื่อมโทรมของโลก”

5.No Change
จำลองโลกที่ไร้การเปลี่ยนแปลง ขาดความร่วมมือกันทำให้โลกดีขึ้น จะสัมผัสหายนะทางสิ่งแวดล้อมจากความเพิกเฉยของมนุษย์ ใช้พลาสติก ขยะทับถมเต็มทะเล โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยมลพิษ รุกล้ำเผาทำลายป่าไม้ โดยห้องให้ยืนบนแท่นที่สัมผัสถึงความสั่นสะเทือนจากภัยพิบัติต่างๆ ทั้งแผ่นดินไหว และอื่นๆ ที่หลายคนต่างรู้สึกเวียนหัวกับโลกที่ไม่ปกติสุข จนอยากจะออกจากห้องOur Future


6.Our Future
โซนอินเทอร์แอคทีฟ ตอบโต้ สื่อสาร ถึงการมีส่วนร่วม จากากรถ่ายทอดแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน โดยกิจกรรมที่เลือกข้างกำแพง จำลอง แต่ละภาพ ที่สามารถนำมือไปแตะให้ลูกกลมๆ ระเบิดออกจากแตะเข้ากับกิจกรรมเป็นมิตรกับโลก เช่น การลดคาร์บอนฟุตพรินต์ การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าก็จะฟองอากาศก็จะแตกออกเป็นดอกไม้โปรยสวยๆ

7.Trees of Lives
พื้นที่แห่งความหวัง เชิญผู้เข้าชมร่วม “ให้คำมั่น” ดูแลโลก สื่อถึงการมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ดียิ่งขึ้น ผ่านการเอามือวางบนจอ แล้วเขียนชื่อ ชื่อของคนที่ลงจะไปปรากฎบนต้นไม้แสดงถึงตราประทับคำมั่นสัญญาไว้กับต้นไม้จำลองบนจอ
8.Rebirth
สถานีแห่งการ “ตื่นรู้” ปิดท้ายด้วยเสียงและแสงแห่งธรรมชาติ ผ่านห้องทำสมาธิ โดยการจำลองโลกมีดิน น้ำ ลมไฟ บนโต๊ะ โดยผู้เข้าร่วมจะนั่งล้อมรอบ ให้สื่อถึงความสงบจากภายใน โดยการเว้นระยะให้ทำสมาธิสักครู เพื่อกลับมาดูร่างกาย ลมหายใจ จะทำให้รู้สึกถึงร่างกายเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับโลก ที่มีแร่ธาตุเป็นองค์ประกอบ ดิน น้ำ ลมไฟเช่นกัน ดังนั้นความสงบ อย่างสมดุล ของโลก จะนำไปสู่ความสงบทางจิตใจ ที่ทำให้โลกกับคน เชื่อมโยงถึงกัน กุศโลบายที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในหัวใจ

นอกจาก Hatch Dome ยังมีโซนเสริมอื่น ๆ ที่ช่วยขยาย “จิตสำนึกต่อโลก” เช่น:


ในอดีต การท่องเที่ยวไทยวนเวียนอยู่กับ “ปริมาณมากกว่าคุณภาพ” ดันตัวเลขนักท่องเที่ยว แต่ทิ้งรอยเท้าคาร์บอน ปัญหาขยะ และชุมชนที่ไม่เคยได้ประโยชน์เต็มที่ ผลลัพธ์คือระบบท่องเที่ยวที่เปราะบาง พึ่งพาต่างชาติสูง รายได้กระจุกตัว และขาดความยั่งยืนทั้งในมิติคนและธรรมชาติ
วันนี้จึงถึงเวลาปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ เปลี่ยนจากท่องเที่ยวเพื่อถ่ายรูป เป็นท่องเที่ยวที่ปลุกปัญญา สร้างคุณค่า และเชื่อมโลกเข้าหาธรรมชาติ ผ่านแนวคิด “Edutainment” ที่ผสานสาระ ความสนุก และการเรียนรู้เพื่อโลกที่ดีขึ้น นั่นทำให้Edutainment ตอบโจทย์ 4 มิติเชิงกลยุทธ์ในโมเดลความยั่งยืน (ESG Tourism Model):
เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ กำลังเปลี่ยนบทบาทจากแลนด์มาร์กโชว์กลางคืน สู่ “พื้นที่เรียนรู้เพื่อความยั่งยืน” ที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้จริง ผ่านโมเดล Edutainment Tourism ที่ทำให้ ESG ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นประสบการณ์ชีวิต
จากโชว์พลังงานสูง โซนเรียนรู้กลางวัน ลดการใช้ไฟ แถมเพิ่มพื้นที่สีเขียวริมแม่น้ำ กิจกรรมรีไซเคิล และตลาด Zero Waste สอดคล้องแนวคิดท่องเที่ยวยั่งยืนที่ลดผลกระทบต่อโลก
ไม่ใช่แค่ทัวร์ต่างชาติ แต่เปิดพื้นที่ให้ ครอบครัว เด็ก และโรงเรียน ร่วมเรียนรู้ผ่านนิทรรศการ เวิร์กช็อปศิลปหัตถกรรมไทย และกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยมีชุมชนคนทำจริงร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์
เอเชียทีคเปิดกระบวนการร่วมกับภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่น ปรับพื้นที่ให้เข้าถึงได้ทุกคน (Inclusive Design) พร้อมโปร่งใสเรื่องการจัดการสิทธิ์เชิงวัฒนธรรม และการออกแบบพื้นที่เรียนรู้ระยะยาว
การเปลี่ยนผ่านสู่ Sustainable Riverside Destination ของ AWC ผสมผสานกลยุทธ์ยั่งยืน ที่เป็นแบรนด์ เชื่อมโยงทุกStakholders สู่การลงมือทำ ผ่านการวางโครงสร้างธุรกิจท่องเที่ยวใหม่ในกรุงเทพฯ ที่ตอบโจทย์ “คนรุ่นถัดไป” สร้างคุณค่าทั้งสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ พร้อมฟื้นหัวใจของเมืองด้วยการท่องเที่ยวที่มีความหมาย ไม่ใช่แค่ตัวเลขคนเดิน
จากธุรกิจเพื่อความบันเทิง สู่ธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ใช้ Edutainment เป็นสะพานเชื่อมโลกเก่าและโลกใหม่
โมเดลนี้อาจกลายเป็นต้นแบบของ Sustainable Riverside Destination ที่ธุรกิจท่องเที่ยวทั้งไทยและอาเซียนจะต้องเรียนรู้ เพราะในยุคที่ผู้คนไม่ได้แค่เที่ยวเพื่อพักผ่อนอีกต่อไป แต่เที่ยวเพื่อ “เติบโต” เอเชียทีคกำลังสอนเราว่า “ความยั่งยืนเริ่มจากมือเรา”