
อบต.มาบยางพร ชุมชนเล็กในจังหวัดระยอง ศูนย์กลางอุตสาหกรรมของประเทศที่เต็มไปด้วยโรงงานและชายหาด แต่กลับมี “ขยะ” กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าที่ใครคิด กับปริมาณขยะกว่า 7 ตันต่อวัน ที่ต้องฝังกลบ แต่กลับไม่มีระบบแยกขยะที่ชัดเจนหรือแรงจูงใจให้คนร่วมมือ.
ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ “จำนวนขยะ” แต่คือ “พฤติกรรมคนเมือง” ที่ยังมองว่าขยะไม่มีค่า ทั้งที่ขวดพลาสติกหนึ่งใบสามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นขวดใหม่ได้อีกครั้ง หากผ่านการคัดแยกอย่างถูกวิธี. จึงกลายเป็นพื้นที่ทดลองที่สำคัญพื้นที่ที่พยายามพิสูจน์ว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) จะเกิดขึ้นจริงได้ก็ต่อเมื่อ “ชุมชนเป็นเจ้าของ ไม่ใช่แค่ผู้ร่วมมือ.”
และจากโครงการเล็ก ๆ ที่เริ่มต้นด้วย “ขวดหนึ่งใบ” วันนี้ ระยองกำลังเขียนสูตรสำเร็จของการจัดการขยะรูปแบบใหม่ที่ไม่เพียงเปลี่ยนถังขยะให้สะอาดขึ้น แต่เปลี่ยนทั้ง “ระบบคิด” ของคนทั้งเมือง จากขยะไร้ค่า สู่ “ขุมทรัพย์หมุนเวียน” ที่คืนคุณค่าให้ชุมชน.

ไม่มีใครคิดว่าที่นี่ กำลังเขียนบทใหม่ของการจัดการขยะที่แตกต่างจากทุกโครงการที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่เพราะครั้งนี้ “ชุมชนคือเจ้าของ ไม่ใช่แค่ผู้ร่วมมือ”
คุณอภิชาติ เงินท้วม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลมาบยางพร จ.ระยอง เปิดเผยว่า ปัญหาที่เขาเผชิญไม่ใช่แค่ตัวเลข 7 ตันขยะต่อวันที่ต้องฝังกลบ แต่คือ “ชาวบ้านไม่เห็นคุณค่าของการแยกขยะ เพราะไม่มีแรงจูงใจ”
จนกระทั่งสถานีซื้อขายขยะรีไซเคิลแห่งนี้เกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเริ่มจากสองคนที่กลายเป็นหัวใจของระบบ – ป้าเต่าและป้าเก๋ – อาสาสมัครที่มีประสบการณ์ด้านการรับซื้อของเก่า พวกเธอค้นพบว่า ขวด PET ที่ล้างสะอาดและแกะฉลากออกขายได้ 6 บาทต่อกิโลกรัม แทนที่จะเป็น 5 บาท และข้อมูลนี้แพร่กระจายไปในชุมชนเหมือนไฟป่า
“เรื่องราวที่น่าสนใจ คือ พวกเธอไม่ได้แค่รับซื้อ แต่กลับไปบอกเพื่อน บอกร้านอาหารในตลาด ให้แยกขวดสะอาด” นายอภิชาติกล่าว “นั่นคือพลังของชุมชนที่เราต้องการ”
น้ำมันทอด 20 บาท กับการปฏิวัติท่อระบายน้ำ
สิ่งที่คนไม่ค่อยพูดถึงในโครงการรีไซเคิลส่วนใหญ่คือ “วัสดุเหลือใช้นอกกระแส” แต่สถานีแห่งนี้รับซื้อแม้กระทั่งน้ำมันทอดที่ใช้แล้วในราคา 20 บาท

คุณวิภาวรรณ ทัศนปรีชาชัย รองประธานบริหารฝ่ายบรรษัทสัมพันธ์ บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการดำเนินงานด้านการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนว่า “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เริ่มดำเนินโครงการ ‘ข.ขวด หมุนเวียน เป็นขวดใหม่’ (Return Bottle to Bottle)ตั้งแต่ปี 2566 โดยในปีแรก เราเริ่มต้นในรูปแบบกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) และค่อยๆ พัฒนาต่อยอดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างให้เป็นโครงการที่มีความยั่งยืน โมเดลความยั่งยืนจากระยองที่เริ่มจากขวดในมือเรา จะขยายไปสู่ต้นแบบระดับประเทศ
ที่จังหวัดระยอง เมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทย ไม่ได้มีแค่โรงงานใหญ่และชายทะเลเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นทางของ “การเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นคุณค่า”
“เรามองว่าความยั่งยืนต้องเริ่มจากบ้านของเรา เมื่อระยองมีครบของเศรษฐกิจหมุนเวียนตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จึงกลายเป็นพื้นที่เหมาะในการทดลองระบบหมุนเวียนขวดให้กลับมาใช้ซ้ำได้จริง เป็นต้นแบบ “pilot model” ของเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เริ่มต้นจากชุมชนใกล้โรงงาน”ผู้บริหารจากซันโตรี เป๊ปซี่โคเล่า

เป้าหมายสำคัญ ในปีแรกปีแรกของโครงการไม่ได้ตั้งเป้าเป็น ตัวเลข ของขยะที่เก็บได้ แต่การเริ่มต้นสถานีขยะ จะนำไปสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงจากระดับครัวเรือน ที่จะช่วย“การเปลี่ยนพฤติกรรมของชุมชน
หลังจากเริ่มต้นจะทำให้ทีมงานลงพื้นที่ ศึกษาว่าคนในชุมชนแยกขยะอย่างไร รวมถึงศึกษาโครงสร้างกระบวนการซื้อขายขยะ ใครคือผู้ขายของเก่า พวกเขาสะดวกแบบไหน และจะเปลี่ยนพฤติกรรมให้มาขายขวดสะอาดได้อย่างไร
“เรามองว่านี่ไม่ใช่กิจกรรมครั้งเดียวจบ แต่คือการสร้างนิสัยยั่งยืนร่วมกับชุมชน สถานีรับซื้อที่ระยองจึงเกิดขึ้นร่วมกับ อบต.บ้านเพ และ พาร์ทเนอร์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง GC, Envico และ Ecoloop เพื่อให้ชาวบ้านมีจุดขายขวดที่ราคายุติธรรม โปร่งใส และคืนกำไรให้ชุมชน”
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนคือร้านอาหารในตลาดหยุดเทน้ำมันลงท่อ กลับมาสะสมและนำมาขาย ทั้งได้เงิน ทั้งช่วยลดมลพิษในระบบน้ำ”
นี่คือความแตกต่างสำคัญ โครงการไม่ได้มองแค่พลาสติก แต่มองทั้งระบบของเสียในชุมชน จากขวดขุ่น (แกลลอนนม) ขวดน้ำมัน ไปจนถึงขวดใส ที่แต่ละประเภทมีมูลค่าและวิธีจัดการที่แตกต่างกัน

จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อคุณวิภาวรรณประกาศชัดว่า “เราไม่ได้มาสร้างสถานีเพื่อให้ชุมชนใช้ แต่มาสร้างแล้วถ่ายทอดให้ชุมชนเป็นเจ้าของ”
ระบบทำงานแบบนี้ รายได้จากส่วนต่าง (gap) ของการขายขยะรีไซเคิล – ตอนนี้เฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาท – จะถูกหมุนเวียนกลับเข้ากองทุนชุมชน ไม่ใช่กำไรของบริษัท ชาวบ้านตัดสินใจเองว่าจะนำเงินไปพัฒนาอะไร
“เราไม่อยากแย่งอาชีพใคร เราเป็นส่วนเติมเต็มให้ระบบรีไซเคิลในชุมชนแข็งแรงขึ้น” คุณวิภาวรรณย้ำ
ความร่วมมือนี้เกิดจากพันธมิตรที่แข็งแรง ประกอบด้วย อบต.มาบยางพร, บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค, GC Youเทิร์น และ The Green ซึ่งแต่ละฝ่ายนำความเชี่ยวชาญมาเติมเต็มกัน ตั้งแต่การออกแบบระบบ ถ่ายทอดความรู้ ไปจนถึงการสร้างตลาดรับซื้อที่ยุติธรรม
คำตอบที่หลายคนมองข้าม คือ ระยองไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยวหรือเมืองอุตสาหกรรม แต่เป็น “เมืองเดียวในไทยที่มีทุกชิ้นส่วนของเศรษฐกิจหมุนเวียนบรรจุภัณฑ์”
ตั้งแต่ โรงงานผลิตขวด PET รีไซเคิลของ GC ผู้จัดจำหน่าย ร้านค้ารับซื้อ ไปจนถึง โรงงานรีไซเคิลที่สามารถผลิตกลับมาเป็นขวด Food-grade rPET ซึ่งผ่านมาตรฐาน อย. และ FDA สหรัฐฯ
“เราจึงเลือกระยองเป็น Pilot Model เพราะถ้าสำเร็จที่นี่ จะขยายไปที่อื่นได้ง่าย” คุณวิภาวรรณอธิบาย “เป้าหมายต่อไปคือสระบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานแห่งที่สอง”
บริษัทได้ริเริ่มใช้ขวด rPET ขนาด 550 มล. เป็นรายแรกในไทยตั้งแต่ปี 2566 และขยายสู่กว่า 20 SKU ครอบคลุมเป๊ปซี่และทีพลัส แม้ต้นทุนจะสูงกว่าขวดธรรมดา 20-30% แต่นี่คือการลงทุนระยะยาวที่เชื่อว่า เมื่อระบบหมุนเวียนใหญ่ขึ้น ต้นทุนจะลดลงเอง

สิ่งที่แตกต่างจากโครงการอื่น คือ การไม่ตั้งเป้าหมายเป็นจำนวนตันของขยะที่เก็บได้ในปีแรก แต่วัดที่ “จำนวนครัวเรือนที่เริ่มแยกขยะอย่างถูกต้อง”
“โครงการคาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี จึงจะเห็นผลเป็นรูปธรรม” นายอภิชาติกล่าว “เพราะเราไม่ได้แก้แค่ปัญหาขยะ แต่เปลี่ยนวิธีคิดของคนทั้งชุมชน”
ปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายหลักคือแม่บ้านและผู้สูงอายุ ซึ่งเหมาะกับโครงสร้างประชากรของไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และกลุ่มนี้มักมีเวลาในการคัดแยกอย่างละเอียด
อุปสรรคที่ยังอยู่: ค่าขนส่งและกำลังคน
แม้จะมีรายได้หมุนเวียน แต่โครงการยังเผชิญความท้าทาย ได้แก่ ค่าขนส่งที่สูง และการขาดแคลนกำลังคนที่มีประสบการณ์ เพราะตอนนี้พึ่งพาอาสาสมัครหลักเพียง 2 คน
“เรากำลังหาวิธีเสริมกำลังคน โดยไม่ทำให้ระบบหนักเกินไป” คุณวิภาวรรณกล่าว “รวมถึง พัฒนาระบบนามบัตรและการตรวจสอบราคาให้โปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ชาวบ้าน”
นอกจากนี้ การขยายไปยังโรงเรียนและหมู่บ้านอื่นยังต้องอาศัยความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (LAOs) และภาคเอกชน โดยเฉพาะเมื่อระบบ EPR/EPI (Extended Producer Responsibility) เริ่มบังคับใช้ ซึ่งจะกระตุ้นความต้องการวัสดุรีไซเคิลในห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น

โครงการ “ข.ขวด หมุนเวียน เป็นขวดใหม่” (Return Bottle to Bottle) ไม่ใช่แค่การเก็บขยะ แต่คือ การออกแบบระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เริ่มต้นจากชุมชน ไม่ใช่จากบนลงล่าง
วันนี้ชาวบ้านรู้แล้วว่าขวดสะอาดมีมูลค่า น้ำมันเก่าขายได้เป็นเงิน และขยะไม่ได้ไร้ค่าอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ พวกเขาเป็นเจ้าของระบบนี้ ไม่ใช่แค่ผู้ใช้งาน
“เราอาจเริ่มจากขวดใบเดียว” คุณวิภาวรรณกล่าวปิดท้าย “แต่สุดท้าย มันคือการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ – ทั้งพฤติกรรม ทั้งเศรษฐกิจ และทั้งวิธีคิดของคนทั้งเมือง”
นั่นคือ เหตุผลที่ระยองอาจกลายเป็นต้นแบบของประเทศ ไม่ใช่เพราะมีโรงงานใหญ่ แต่เพราะมีชุมชนที่เข้มแข็งพอจะเป็นเจ้าของความยั่งยืน