
บลายด์บ็อกซ์ หรือ การกล่องสุ่มลึกลับ ออกแบบ “ประสบการณ์การลุ้น” คล้ายเกมพนันเบา ๆ กระตุ้นสารเคมีโดปามีนในสมองและร่างกายเกิดการเสพติด ต้องการซื้อซ้ำเพื่อสะสมให้ครบ ควบคู่กับความกดดันทางสังคมจากอินฟลูเอนเซอร์แฟชั่น ทำให้สินค้า “ถูกใช้เป็นตัวแทนบุคลิก” มากกว่าฟังก์ชันการเล่นจริง จึงเสี่ยง บริโภคเกินตัว (overconsumption) ทำให้สินค้าอายุการใช้งานสั้น
ที่สำคัญในช่วงพีกของดีมานด์ยังมาพร้อม เหตุชุลมุนในร้าน ที่แก่งแย่งกันซื้อสินค้า จนเกิดกรณีวิวาท และ ยังมีกลุีมสินค้าปลอม สแกมออนไลน์ ที่คุกคามความปลอดภัยและสิทธิผู้บริโภค โดยเฉพาะเยาวชนที่ยังไม่มีวุฒิภาวะทางการเงิน
เทรนด์เหล่านี้สร้างความสุข แต่ก็ส่งเสริมการบริโภคแบบสั้น ๆ และมลพิษระยะยาว
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ ขนาดและความเร็วของวัฒนธรรมไวรัล ผู้คนนับล้านซื้อสินค้านี้ภายในไม่กี่สัปดาห์ วงจร “เทรนด์สู่ขยะ” นี้คือผลพลอยได้จากการบริโภคเกินความต้องการ มักถูกกระตุ้นโดยอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลมหาศาล เช่นเดียวกับผู้สร้างคอนเทนต์ คนดัง และอินฟลูเอนเซอร์ที่นำสินค้านี้เข้าสู่สายตาผู้คน

ที่มาของวัสดุและการผลิต ฟิกเกอร์(โมเดลตัวละคร) ขนนุ่มๆ มักใช้ พลาสติกพีวีซี (พอลิไวนิลคลอไรด์ – PVC), พลาสติกเอบีเอส (อะคริโลไนไตรล์บิวทาไดอีนสไตรีน – ABS) และ โพลีเอสเตอร์ (Polyester) ซึ่งเป็นวัสดุทำมาจากฟอสซิล ใช้พลังงานสูงในการผลิต และย่อยสลายยาก เมื่อเสื่อมสภาพยังก่อไมโครพลาสติกปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม และยังมีกระบวนการพ่นสี อบชิ้นส่วนใช้พลังงานและสารเคมี จึงเพิ่มคาร์บอนฟุตพริ้นต์โดยตรง
บรรจุภัณฑ์ที่ห่อหุ้มโมเดลสุดน่ารัก ยังเป็นขยะ ในกล่องสุ่ม ที่มีรูปแบบ เปิดหาโมเดลจากบลายด์บ็อกซ์(Blind Box) กระตุ้นให้ “ซื้อซ้ำ” เพื่อตามหาลายหายาก ส่งผลให้ ขยะบรรจุภัณฑ์ เพิ่มแบบทวีคูณ ทั้งฟิล์ม พลาสติกกันกระแทก กล่องกระดาษเคลือบ ซึ่งหลายชิ้นแยกรีไซเคิลยากในทางปฏิบัติ
การขนส่ง ห่วงโซ่การผลิต–โลจิสติกส์ข้ามประเทศ (โรงงาน–ศูนย์กระจาย–สโตร์/อีคอมเมิร์ซ) ทำให้เครือข่ายซัพพลายเชน Scope 3 ของผลิตภัณฑ์สูงขึ้น ทั้งจากการขนส่งและการจัดเก็บ
อัตราการปล่อย”คาร์บอนต่อชิ้น
ไทยกำลังเริ่ม “แบนการนำเข้าขยะพลาสติก” (ม.ค. 2025) มีการเดินหน้าออก กฎหมาย EPR (Extended Producer Responsibility: ความรับผิดชอบของผู้ผลิตที่ขยายออกไป) สำหรับบรรจุภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีผลช่วงปี 2027 บนฐาน Roadmap พลาสติก 2018–2030 บังคับให้ “แบรนด์–ผู้นำเข้า–ค้าปลีก” จะต้องร่วม รับผิดชอบปลายทางของสินค้า เก็บกลับบรรจุภัณฑ์ไม่ปล่อยให้เป็นขยะ ตั้งแต่การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้รีไซเคิลได้จริง การจัดระบบรับคืน–คัดแยก ไปจนถึงการเปิดเผยรายงานการจัดการของเสียอย่างโปร่งใส
สำหรับสินค้าประเภทของเล่นฟิกเกอร์ คำถามเชิงนโยบายคือ EPR จะครอบคลุม “ผลิตภัณฑ์” นอกเหนือจากบรรจุภัณฑ์อย่างไร? จะมี เกณฑ์ดีไซน์เพื่อรีไซเคิล (D4R) หรือ สัดส่วนเนื้อวัสดุรีไซเคิลขั้นต่ำ บังคับหรือไม่? การคุยเชิงรุกระหว่างรัฐ–เอกชน–รีไซเคิล เป็นขั้นตอนต่อไปที่หาจุดลงตัววางโครงสร้างพื้นฐานสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนให้เป็นจริง
โอกาสและทางออก: “แฟนคอมมูนิตี้สีเขียว” ทำได้จริง
แทนที่จะมอง ESG เป็นต้นทุน แบรนด์และตัวแทนในไทยสามารถแปลงกระแสความปังน่ารักของลาบูบู้ เป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน และสร้างฐานชุมชน “แฟนคลับที่ยั่งยืน” ได้ ดังนี้
1. ออกแบบเพื่อหมุนเวียนอย่างแท้จริง (Design for Circularity -D4R) ลด/เลี่ยง PVC, แยกชิ้นส่วนง่าย, ใช้สี–กาวที่ถอดได้, เลือกโพลีเมอร์ชนิดเดียวเพื่อรีไซเคิลง่าย ทำให้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลได้ 100% “เกิดเป็นระบบจริง” ไม่ใช่แค่ในทฤษฎี
2. สร้างระบบรับคืน–ซ่อม–ปรับสภาพ–และขายต่อได้ (Return – Repair – Refurb – Resale)
หน้าร้านแฟล็กชิปสโตร์ ต่อไปไม่ควรจะเป็นแค่จุดขายเมื่อเปิดตัวสินค้าใหม่ ที่มีเฉพาะสินค้ารอการขาย ควรมีการตั้งจุดรับคืนของในร้าน, โปรแกรมซ่อมและรับรองสินค้ามือสองแท้, ให้คูปองส่วนลดเมื่อส่งคืน เพื่อให้มั่นใจว่า ลาบูบู้ จะหมุนวนกลับมามีชีวิตยืนยาวและมีคุณค่าให้กับนักสะสม ลดขยะถูกทิ้ง เพิ่มคุณค่าตลอดอายุผลิตภัณฑ์
3. เปิดตัวรุ่นรักษ์โลก พร้อมคิวอาร์ ESG (Eco Editions + ESG QR)
แบรนด์ต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในความรับผิดชอบต่อการผลิต อาจจะมีการทำรุ่นพิเศษจากวัสดุชีวภาพหรือรีไซเคิล พิมพ์ QR ระบุที่มาวัสดุ–คาร์บอนต่อรุ่น–คู่มือแยกทิ้งและดูแลสินค้า เพื่อยกระดับ “ความรู้และความเข้าใจ” ของแฟนคลับให้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจหมุนเวียน
4. เปิดขายอย่างยุติธรรม ปลอดภัยตั้งแต่ดีไซน์ (Fair Launch & Safety by Design)
สร้างความน่าเชื่อถือกับระบบการขายที่โปร่งใส ยุติธรรม ด้วยการจัดทำระบบคิวดิจิทัลต่อคน/ต่อบัญชี, จำกัดจำนวนซื้อ, มีโปรโตคอลความปลอดภัยในงานขายจริง สื่อสารต่อต้านรีเซลเลอร์และพฤติกรรมกว้านซื้อ สร้างวัฒนธรรมแฟร์เพลย์ในวงการสะสม
5.รายงานข้อมูลสิ่งแวดล้อม–สังคม–ธรรมาภิบาลอย่างโปร่งใส ( ESG Disclosure ที่วัดผลได้)
เพื่อสร้างแรงจุงใจทำให้เห็นของความก้าวหน้า และความจริงใจในการดำเนินการเพื่อโลกยั่งยืน จึงต้องมีการจัดทำรายงาน Scope 3, ปริมาณของเสียที่รับคืน, อัตรารีเฟิร์บ/รีเซล, ปริมาณบรรจุภัณฑ์ต่อชิ้น, เป้าลดวัสดุฟอสซิล เชื่อมกับ KPI รายไตรมาส สร้างมาตรฐานความรับผิดชอบของแบรนด์ คนซื้อ คนสะสม จะรู้สึกภูมิใจที่ได้ซื้อสินค้าที่รักษ์โลก และไม่รู้สึกผิดที่การซื้อไปสร้างภาระให้กับโลก
ข้อแนะนำ ในการสร้างความโปร่งใสของซัพพลายเชนและความเป็นธรรมของตลาด ตามหลักธรรมาภิบาลคือ
Labubu และพลัง IP ของจีนพิสูจน์ว่า “ของเล่น” สามารถเป็น สัญลักษณ์อารมณ์ร่วมและตัวตนทางสังคม ได้อย่างมหาศาล แต่ความสุขแบบ “สุ่ม–เสพ–ทิ้ง” กำลังผลักภาระให้สิ่งแวดล้อมและสังคมโดยไม่รู้ตัว หากแบรนด์- ผู้นำเข้า-ค้าปลีก และภาครัฐ ร่วมกันออกแบบวงจรหมุนเวียนตั้งแต่ต้นน้ำ ให้เปลี่ยนวัสดุ ดีไซน์เพื่อรีไซเคิลได้ พร้อมวางระบบรับคืน เปิดข้อมูล ESG และจัดการเปิดขายอย่างเป็นธรรม กระแสแฟนคลับจะไม่ต้องขัดแย้งกับความยั่งยืนอีกต่อไป จึงเป็นทางออกที่ปิดความเสี่ยง ในยุคที่มีสัญญาณของการเสื่อมมนต์ขลังของ Labubu ที่เป็นเทรนด์ฮิตสวนทางกับยุคโลกร้อน
เพราะโลกในยุคหน้า ทุกคนล้วนต้องมีความรับผิดชอบ เลือกหายใจได้สะดวก มากกว่าอารมณ์ความสุขจากการได้ครอบครอง ความน่ารักของ ตุ๊กตา Labubu ชั่วคราว โดยทิ้งภาระหนัก คาร์บอนลอยในอากาศหนักขึ้น ทำให้โลกและเราหายใจไม่เต็มปอด
ที่มา – South China Morning Post, 2024”