
ตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนกลับมามีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอีกครั้ง เมื่อดัชนี SET สามารถดีดตัวกลับขึ้นมาปิดใกล้ระดับ 1,470 จุด บวกขึ้นมากว่า 16 จุด ท่ามกลางคำถามของนักลงทุนว่า การฟื้นตัวครั้งนี้จะเป็นเพียงภาพลวงตา หรือเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัวจริง ท่ามกลางแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง บทความนี้จะพาไปเจาะลึกมุมมองจาก คุณฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด(มหาชน) ที่ได้มาวิเคราะห์สถานการณ์ไว้อย่างรอบด้านในรายการ F1 Money

เส้นตาย 200 วัน ชี้ชะตาหุ้นไทย : สัญญาณทางเทคนิคเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในช่วงนี้ โดยเฉพาะ “เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน” (EMA 200) ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1,461 จุด ความสำคัญของเส้นนี้คือ ในช่วงก่อนหน้านี้ดัชนีหุ้นไทยสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ตลอด แต่เมื่อเร็วๆ นี้มีการหลุดระดับดังกล่าวลงไป ก่อนจะสามารถดีดกลับมายืนเหนือเส้น 200 วันได้อีกครั้ง ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากดัชนีไม่สามารถยืนระยะและหลุดระดับ 1,452 จุดลงไปอีกครั้ง จะถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก โดยมีแนวรับสำคัญถัดไปอยู่ที่ 1,430 จุด และหากหลุดจากตรงนี้ อาจเห็นดัชนีลงไปทดสอบแนวรับทางจิตวิทยาที่ 1,400 จุด ซึ่งจะสะท้อนภาพของการเป็นขาลงแบบซิกแซก (Zigzag Down) ดังนั้น การยืนเหนือ 1,461 จุดให้ได้ในสัปดาห์นี้จึงเป็นโจทย์สำคัญที่ตลาดต้องพิสูจน์ตัวเอง
แม้ดัชนีจะฟื้นตัว แต่เมื่อดูไส้ในของกระแสเงินทุน (Fund Flow) ยังคงส่งสัญญาณน่ากังวล ซึ่งสวนทางกับภาพดัชนีที่ปรับตัวสูงขึ้น
ภาพสะท้อนแรงขายที่ยังไม่จางหาย เมื่อพิจารณาไส้ในของข้อมูลการซื้อขายอย่างละเอียด จะพบว่าทิศทางของนักลงทุนต่างชาติยังคงอยู่ในสถานะ “ขายสุทธิ” อย่างต่อเนื่องและชัดเจน คุณ ฐกฤต ได้เปิดเผยสถิติย้อนหลังในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมา พบข้อเท็จจริงว่ามีแรงซื้อกลับเข้ามาเพียงวันเดียวคือวันที่ 20 พฤศจิกายน เท่านั้น ในขณะที่วันอื่นๆ เต็มไปด้วยแรงขาย
นอกจากนี้ หากมองภาพรวมตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ตัวเลขยอดขายสุทธิสะสมสูงถึง 386 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มที่เกิดขึ้นมาตลอดตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาสที่ 4 แม้จะมีบางช่วงในเดือนสิงหาคมที่มีแรงซื้อเข้ามาบ้าง แต่หลังจากนั้นในเดือนกันยายนและตุลาคม ทิศทางของเงินทุนต่างชาติก็กลับมาเป็นฝั่งขายอย่างชัดเจน ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติยังไม่ได้ไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง
ทำไมเงินทุนถึงไหลออก?
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินเหล่านี้ยังคงไหลออกและไม่กลับเข้ามาในเร็ววัน เกิดจากการเปรียบเทียบ “โอกาส” และ “ผลตอบแทน” ในตลาดโลก คุณ ฐกฤต ได้วิเคราะห์ว่า ในปีนี้ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่น่าผิดหวัง โดยดัชนี SET Index ติดลบไปเกือบ 10 % ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นหลักอื่นๆ
ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยซบเซา ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกลับสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ได้ โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญจากการเลือกตั้ง หรือแม้แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ถึงแม้จะมีการย่อตัวลงบ้าง แต่ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปียังคงเป็นบวก รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง “ทองคำ” ก็ให้ผลตอบแทนที่จูงใจกว่า ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่กระแสเงินทุน (Global Fund Flow) จะเลือกไหลออกจากตลาดที่ให้ผลตอบแทนต่ำอย่างไทย ไปสู่ตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงกว่า
DELTA ไม่ใช่ “เดอะแบก” เพียงหนึ่งเดียว สู่สัญญาณการหมุนเวียนกลุ่มลงทุนรอบใหม่
จุดเปลี่ยนที่น่าสนใจในรอบนี้ คือ การฟื้นตัวของตลาดไม่ได้พึ่งพาหุ้นใหญ่อย่าง DELTA เพียงตัวเดียวเหมือนที่ผ่านมา แม้ DELTA จะมีส่วนช่วยดันดัชนีถึงเกือบครึ่งหนึ่งของการบวก แต่เราเริ่มเห็นแรงซื้อกระจายตัวไปยังหุ้นบิ๊กแคป (Big Cap) ตัวอื่นๆ เช่น AOT ที่บวกขึ้นมากว่า 6% ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก โดยได้รับแรงหนุนจากประเด็นบวกเฉพาะตัวเรื่องการปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (PSC) การที่หุ้นขนาดใหญ่เริ่มสลับกันขึ้นมามีบทบาทนำตลาดแทนที่จะพึ่งพาหุ้นเพียงตัวเดียว ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่สะท้อนถึงเสถียรภาพของตลาดที่ดีขึ้น
การหมุนเวียนเม็ดเงิน สู่กลุ่มที่เคยถูกมองข้าม
นอกเหนือจากการฟื้นตัวของหุ้นขนาดใหญ่แล้ว คุณฐกฤต ยังชี้ให้เห็นถึงกระแสเงินทุนที่เริ่มไหลกลับเข้าสู่กลุ่มอุตสาหกรรมที่เคยทำผลงานได้ต่ำกว่าตลาด (Underperform) ในช่วงก่อนหน้า ตัวอย่างเช่น กลุ่มอาหารและเกษตร โดยเฉพาะหุ้นอย่าง CPF ที่ก่อนหน้านี้เผชิญแรงขายจากปัจจัยลบระยะสั้น ทั้งเทศกาลกินเจและปัญหาราคาสุกรตกต่ำจากสถานการณ์น้ำท่วม
แต่ในปัจจุบัน ตลาดเริ่มมองข้ามปัจจัยลบเหล่านั้นและหันมาโฟกัสที่ปัจจัยพื้นฐานและการฟื้นตัวในอนาคต ส่งผลให้เม็ดเงินเริ่มไหลกลับเข้ามาเก็งกำไรในกลุ่มนี้อีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีแรงส่งจากความคาดหวังต่อปัจจัยบวกในช่วงปลายปี ทั้งเทศกาลเฉลิมฉลองและการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มบริการและบัตรเครดิต รวมถึงการมองข้ามช็อตไปยังการเลือกตั้งในปีหน้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของกระแสเงินทุน
กลุ่มธนาคาร ความแข็งแกร่งบนธีม Asset Quality Improve
อีกหนึ่งประเด็นที่ คุณฐกฤต ให้ความสำคัญ คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งแม้จะมีกระแสเรื่องทิศทางดอกเบี้ยขาลง แต่ราคาหุ้นกลุ่มนี้กลับไม่ปรับตัวลงตาม และยังคงรักษาทิศทางบวกไว้ได้ สาเหตุหลักมาจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงเชื่อมั่นในพื้นฐาน โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูงถึง 7-9 % ประกอบกับการเข้าสู่วัฏจักรการลงทุนรอบใหม่ ทำให้หุ้นธนาคารใหญ่ อาทิ KTB และ KBANK ยังคงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในการเป็นเสาหลักค้ำยันดัชนี ควบคู่ไปกับการหมุนเวียนกลุ่มเล่นที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีความสมดุลมากขึ้น

ในปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ถือครองหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สร้างความกังวลให้กับตลาดทุนในวงกว้าง
จุดเริ่มต้นของแรงเทขาย
สาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนี mai ปรับตัวลงลึก เกิดจากประเด็นปัญหาเรื่องการฉ้อโกง (Fraud) และปัญหาด้านธรรมาภิบาลที่เกิดขึ้นกับบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อนักลงทุน ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจและนำไปสู่การเทขายหุ้นในกลุ่มนี้ออกมาเพื่อลดความเสี่ยง ผลที่ตามมาคือ เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากหุ้นขนาดเล็กไปกระจุกตัวอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงสูงกว่า หรือที่เรียกว่ากลุ่ม SET50 และ SET100 แทน
คุณฐกฤต ได้ชี้ให้เห็นภาพชัดเจนว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากการกระจายตัวของกำไรไปยังหุ้นทุกกลุ่ม แต่เป็นการขึ้นแบบกระจุกตัว โดยมีหุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัว เช่น DELTA, ADVANC และหุ้นในเครือ CP เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ในขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็กแทบไม่ได้รับอานิสงส์จากกระแสเงินทุนนี้เลย
ทางเลือกใหม่และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนักลงทุน
ในขณะเดียวกัน พฤติกรรมของนักลงทุนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามพลวัตของตลาดโลก เมื่อผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของไทยไม่เป็นไปตามคาด ประกอบกับความผันผวนภายในประเทศ นักลงทุนจึงเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เช่น การลงทุนใน ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงหุ้นชั้นนำในต่างประเทศได้โดยตรง ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า เงินลงทุนพร้อมที่จะเคลื่อนย้าย (Move) ไปสู่แหล่งที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่าเสมอ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันหุ้นไทยขนาดเล็กในปีนี้
แนวทางจัดพอร์ตและการเฟ้นหาโอกาสในวิกฤต
สำหรับกลยุทธ์การ “อยู่รอด” ของนักลงทุนรายย่อยในสภาวะเช่นนี้ คุณฐกฤต แนะนำว่า หัวใจสำคัญ คือ การกระจายความเสี่ยง (Diversification) การถือหุ้นเพียงอย่างเดียวหรือกระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวมีความเสี่ยงสูงเกินไป นักลงทุนควรพิจารณากระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นทองคำ หรือหุ้นต่างประเทศ เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนรายย่อย การถือครองหุ้นจำนวนมากตัวเกินไปอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีเสมอไป สิ่งที่ควรทำ คือ การจัดสัดส่วนพอร์ตอย่างสมดุล โดยผสมผสานระหว่าง หุ้นเติบโต (Growth Stock) และ หุ้นปันผล (Dividend Stock) รวมถึง การมองหาโอกาสแบบ Selective Buy ในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ราคาปรับตัวลงมาลึกจนต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน
คุณฐกฤต ยกตัวอย่างกลุ่มที่น่าสนใจในระยะข้างหน้า เช่น กลุ่มเครื่องดื่ม ที่ปีนี้ยอดขายอาจชะลอตัวจากสภาพอากาศที่มีฝนตกชุก แต่หากพิจารณาถึงวัฏจักรในอนาคตที่คาดว่าปีหน้าจะกลับมามีอากาศร้อนจัด ยอดขายและกำไรของบริษัทเหล่านี้ก็มีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้อย่างโดดเด่น ซึ่งนี่อาจเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีแต่ราคาถูกกดดันจากภาวะตลาดชั่วคราว
เมื่อมองข้ามความผันผวนในระยะสั้นไปสู่ภาพใหญ่ของปี 2025 ปัจจัยบวกสำคัญที่นักลงทุนต่างเฝ้ารอคอยคงหนีไม่พ้น “การเลือกตั้ง” ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองไทย
สถิติย้อนหลังชี้ชัด 6 เดือนก่อนหย่อนบัตร คือ นาทีทองของการลงทุน
หากพิจารณาสถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปี 2023 ซึ่งครอบคลุมการเลือกตั้งประมาณ 5 ครั้ง จะพบข้อมูลเชิงประจักษ์ที่น่าสนใจว่า ตลาดหุ้นไทยมักจะตอบสนองในเชิงบวกก่อนการเลือกตั้งเสมอ โดยเฉพาะในช่วงระยะเวลา 6 เดือนก่อนวันเลือกตั้ง ดัชนีตลาดหุ้นไทยมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 5 % อย่างไรก็ตาม หากระยะเวลากระชั้นเข้ามาเหลือเพียง 3 เดือนก่อนเลือกตั้ง อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอาจลดลงมาอยู่ที่ประมาณ -2 %
ดังนั้น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าสะสมหุ้นเพื่อเก็งกำไรจากกระแสนี้ จึงเป็นช่วงก่อนที่ความชัดเจนจะเกิดขึ้น หรือช่วงที่กระแสข่าวเริ่มก่อตัว ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เริ่มมีการคาดการณ์ถึงไทม์ไลน์ทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น
ไทม์ไลน์การเมืองกับการนับถอยหลังสู่การเปลี่ยนแปลง
ในส่วนของกรอบเวลาที่น่าจับตามอง คุณฐกฤต ได้ประเมินสถานการณ์โดยอ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของท่านนายกรัฐมนตรีที่ระบุถึงความเป็นไปได้ในการยุบสภาช่วง กลางเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งหากเป็นไปตามคาดการณ์ กระบวนการจัดการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นในช่วง ปลายไตรมาส 1 หรือต้นไตรมาส 2 ของปีหน้า
ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นรอยต่อสำคัญที่นักลงทุนจะเริ่มเข้ามาเก็งกำไร (Speculate) จากความคาดหวังต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งมาตรการทางการเงินและการคลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคการเมืองต่างๆ มักใช้เป็นจุดขายในการหาเสียง ปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นพฤติกรรมปกติของตลาดทุนที่มักเกิดขึ้นซ้ำๆ ดังเช่นที่เห็นได้จากตลาดหุ้นญี่ปุ่นในปีนี้ ที่สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ได้ โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเลือกตั้งเช่นกัน
นโยบายรัฐบาลใหม่ เหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่ยังได้ผล?
แม้ผลการเลือกตั้งจะยังเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก และอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดในระยะสั้น แต่คุณฐกฤต มองว่า “ภาพใหญ่” ของนโยบายเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งมักจะมีทิศทางที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าพรรคใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาล โดยแกนหลักของนโยบายจะหนีไม่พ้นการ กระตุ้นการบริโภคในประเทศ การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ และการช่วยเหลือภาระหนี้สินของประชาชน
สิ่งที่แตกต่างกันอาจเป็นเพียงรายละเอียดและวิธีการ เช่น ช่องทางการอัดฉีดเงิน หรือรูปแบบของนโยบายพลังงาน แต่เป้าหมายหลักยังคงเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ค้าปลีก และสถาบันการเงิน
จังหวะ “เก็งกำไร” บนความคาดหวัง
สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในช่วงรอยต่อของปี การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับ Election Rally ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ โดยอาจใช้จังหวะที่ตลาดยังมีความไม่แน่นอนนี้ในการคัดเลือกหุ้น (Selective Buy) ในกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายประชานิยมและการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า พลังของความคาดหวังในช่วงก่อนการเลือกตั้ง มักจะผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้เสมอ

จากภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังคงมีความผันผวนและปัจจัยความไม่แน่นอนรอบด้าน คุณ ฐกฤต แนะนำ คือ การผสมผสานสัดส่วนการลงทุนระหว่าง หุ้นปันผล (Dividend Stock) และ หุ้นเติบโต (Growth Stock) ในอัตราส่วน 50:50 หรืออาจปรับเปลี่ยนตามระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละท่านยอมรับได้ โดยคัดสรรออกมาเป็น 5 ธีมการลงทุนเด่นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ดังนี้
แม้กระแสข่าวเรื่องแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงอาจสร้างความกังวลต่อกลุ่มธนาคาร แต่ในความเป็นจริง หุ้นกลุ่มนี้ยังคงมีความน่าสนใจสูง โดยเฉพาะในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงเข้าสะสมหุ้นธนาคารไทยอย่างต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญมาจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่อยู่ในระดับจูงใจถึง 7-9 %
นอกจากนี้ ปัจจัยพื้นฐานภายในของกลุ่มธนาคารยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนจากคุณภาพสินทรัพย์ (Asset Quality) ที่ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 และ 3 ที่ผ่านมา ประกอบกับการเข้าสู่วัฏจักรการลงทุนรอบใหม่ (New Capex Cycle) และความคาดหวังเชิงบวกจากการเลือกตั้งในปีหน้า ซึ่งจะส่งผลดีต่อความต้องการสินเชื่อ โดยมีหุ้นโดดเด่น (Top Pick) ในกลุ่มนี้ ได้แก่ KTB และ KBANK
ในภาคการท่องเที่ยวและการบริการ แม้จะมีปัจจัยกดดันระยะสั้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่อาจชะลอตัวลงจากปัญหาน้ำท่วม แต่ยังมีปัจจัยบวกสำคัญที่จะเข้ามาชดเชย คือการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะประเด็นที่ทางการจีนมีนโยบายระงับกรุ๊ปทัวร์ไปยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นโอกาสทองของประเทศไทย
ด้วยความใกล้เคียงทางวัฒนธรรมและค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า ประเทศไทยจึงกลายเป็นเป้าหมายหลักที่นักท่องเที่ยวจีนจะเบนเข็มเดินทางเข้ามา โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างตรุษจีนในช่วงต้นปีหน้า หุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์เต็มที่ ได้แก่ AOT, CENTEL, BDMS และ CPALL
อีกหนึ่งธีมการลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (InfraTech) ซึ่งสอดรับกับเทรนด์โลกในปัจจุบันที่ความต้องการใช้งาน Data Center และ Cloud Computing เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
กลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์โดยตรงครอบคลุมตั้งแต่นิคมอุตสาหกรรม ผู้ผลิตไฟฟ้า ไปจนถึงกลุ่มสื่อสาร (ICT) หุ้นที่น่าสนใจในธีมนี้ประกอบด้วย GULF, AMATA, ADVANC และ TRUE ซึ่งล้วนเป็นบริษัทที่มีฐานรายได้มั่นคงและมีแนวโน้มเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจดิจิทัล
สำหรับการมองข้ามช็อตไปถึงปี 2025 ตลาดจะเริ่มให้ความสนใจกับหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ในระดับสูง โดยเฉพาะบริษัทที่ราคาหุ้นมีการปรับฐานลงมาลึกในช่วงก่อนหน้าและมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน (Turnaround) การเข้าสะสมหุ้นในกลุ่มนี้ต้องอาศัยการทำการบ้านเพื่อคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพในการกลับมาเติบโตได้อย่างโดดเด่น ซึ่งหุ้นที่เข้าข่ายน่าจับตามองได้แก่ PTTGC และ INSET
ประเด็นสุดท้ายที่น่าสนใจ คือ ผลกระทบจากสภาพอากาศ (Weather Cycle) ต่อหุ้นขนาดกลางและเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่ม ซึ่งในปีนี้ยอดขายอาจได้รับผลกระทบจากปริมาณฝนที่ตกชุก แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้มในปีหน้า หากสภาพอากาศเปลี่ยนเข้าสู่ภาวะร้อนจัดตามวัฏจักร ย่อมส่งผลดีโดยตรงต่อยอดขายสินค้าในกลุ่มนี้
นี่จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในการเข้าสะสมหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Mid-Small Cap) ในกลุ่มเครื่องดื่มที่ราคาปรับตัวลดลงมาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน เพื่อรอรับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของยอดขายและการบริโภคที่จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเข้าซื้อ “หุ้นปันผล” มักจะเป็นช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ เพื่อดักรอการประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 และการประกาศจ่ายเงินปันผล

เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมทั้งหมดแล้ว บทสรุปสำคัญสำหรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อเอาชนะตลาดในปีนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่การเลือกหุ้นที่ถูกตัวเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับ “จังหวะเวลา” (Timing) ที่แม่นยำอีกด้วย คุณฐกฤต ได้ให้แนวทางที่ชัดเจนสำหรับการจัดพอร์ตในช่วงรอยต่อของปี โดยเน้นย้ำไปที่การดักทางกระแสเงินสดและหุ้นที่มีเกราะป้องกันความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง
เปิดปฏิทินการลงทุน : มกราคม-กุมภาพันธ์ ช่วงเวลาทองของ “Dividend Play”
ในเชิงกลยุทธ์ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเข้าทยอยสะสม “หุ้นปันผล” ไม่ใช่ช่วงที่ข่าวดีปรากฏออกมาแล้ว แต่เป็นช่วงเตรียมการณ์ล่วงหน้าอย่าง เดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ สาเหตุที่ช่วงเวลานี้มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากเป็นโค้งสุดท้ายก่อนที่บริษัทจดทะเบียนจะทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 4 และตามมาด้วยการประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี
พฤติกรรมของตลาด (Market Behavior) ในช่วงนี้ มักจะเกิดแรงซื้อดักทางจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการสิทธิ์รับเงินปันผล ส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้มักปรับตัวสูงขึ้น (Dividend Rally) ดังนั้น การเข้าสะสมในช่วงต้นปีจึงเปรียบเสมือนการซื้อความปลอดภัยพร้อมโอกาสในการรับผลตอบแทนสองต่อ ทั้งจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) และเงินปันผล (Dividend Yield) ที่กำลังจะประกาศจ่าย
ICT: เสาหลักแห่งความปลอดภัยและการเติบโต (Defensive & Growth)
เมื่อต้องคัดเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็น “The Best Pick” ในสถานการณ์ปัจจุบัน คุณฐกฤต ยกให้กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นที่สุด เหนือกว่ากลุ่มอื่นๆ ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่ผสมผสานระหว่างความเป็นหุ้นปลอดภัย (Defensive) ที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจผันผวน และความเป็นหุ้นเติบโต (Growth) ที่สอดรับกับเทรนด์ดิจิทัลของโลก
ความน่าสนใจของกลุ่ม ICT ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่รายได้ที่มั่นคงจากผู้ใช้งานประจำ แต่ยังรวมถึงโอกาสในการขยายธุรกิจไปสู่ Data Center และบริการดิจิทัลใหม่ๆ ซึ่งเป็น New S-Curve ของประเทศ โดย คุณ ฐกฤตได้จำแนกหุ้นเด่นในกลุ่มนี้ออกเป็น 2 สไตล์การลงทุน ดังนี้:
Selective Buy กุญแจสู่ความอยู่รอดในปี 2025
กล่าวโดยสรุป : แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2025 จะยังคงถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอน ทั้งจากทิศทางดอกเบี้ยและนโยบายการค้าโลก แต่โอกาสในการสร้างผลตอบแทนยังคงเปิดกว้างสำหรับผู้ที่เตรียมตัวมาดีกุญแจสำคัญคือการใช้กลยุทธ์ Selective Buy หรือการคัดเลือกหุ้นรายตัวอย่างพิถีพิถัน โดยเน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับจริง มีสตอรี่การเติบโตที่ชัดเจน และเข้าซื้อในจังหวะที่เหมาะสม การยึดมั่นในวินัยการลงทุนตามธีมหลักเหล่านี้ จะเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยให้นักลงทุนไม่เพียงแค่ “รอด” จากวิกฤต แต่ยังสามารถสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนได้ ท่ามกลางความท้าทายของตลาดหุ้นไทยที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า
| ธีมลงทุน | ทำไมถึงน่าสนใจ | รายชื่อหุ้น |
| Asset Quality Improve (กลุ่มธนาคาร) | ดอกเบี้ยขาลง หุ้นธนาคารแข็งแกร่ง อิงปันผล 7-9% | KTB, KBANK |
| Service & Tourism (ท่องเที่ยวและบริการ) | รับแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวจีนช่วงตรุษจีน | AOT, CENTEL, BDMS, CPALL |
| InfraTech & Data Center (โครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี) | รองรับเทรนด์โลก เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น | GULF, AMATA, ADVANC, TRUE |
| Turnaround & EPS Growth (หุ้นพลิกฟื้น) | หุ้นกำไรเติบโตเด่นหลังปรับฐาน | PTTGC, INSET |
| Weather Cycle (เครื่องดื่มรับลมร้อน) | พลิกกลับจากยอดขายตกต่ำไปสู่การเติบโต | หุ้นขนาดกลาง-เล็กในกลุ่มเครื่องดื่ม |
อ้างอิงจาก F1 Money