
ปี 2568 ผ่านไปเกือบ 10 เดือนมีหุ้น IPO เข้าซื้อขายทั้งสิ้น 13 บริษัท โดยจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) รวม 4 บริษัท และ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 9 บริษัท ปรากฏว่า 9 จาก 13 บริษัท ราคาหุ้นล่าสุด (28 ต.ค.68) ปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาจองซื้อ
สถิติราคาหุ้น IPO ล่าสุด | |||
ชื่อย่อหุ้น | ราคา IPO (บ./หุ้น) | ราคาล่าสุด (บ./หุ้น) | %chg |
ONSENS | 2.05 | 1.39 | -32.20 |
ATLAS | 3.00 | 2.38 | -20.67 |
MASTEC | 1.45 | 1.33 | -8.28 |
TURBO | 1.50 | 1.75 | 16.67 |
BKA | 1.80 | 0.96 | -46.67 |
NUT | 6.80 | 4.36 | -35.88 |
IDG | 3.00 | 2.70 | -10.00 |
88TH | 5.45 | 4.94 | -9.36 |
LTMH | 5.00 | 4.70 | -6.00 |
MOTHER | 1.40 | 1.36 | -2.86 |
PIS | 3.00 | 3.30 | 10.00 |
SKIN | 1.20 | 1.54 | 28.33 |
HANN | 0.70 | 0.98 | 40.00 |
จากข้อมูลข้างต้นพบว่ามีถึง 5 บริษัทที่ราคาล่าสุดปรับตัวลดลงมากกว่า 10% จากราคา IPO โดย บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA) ณ 28 ต.ค.68 ปิดที่ 0.96 บาท ติดลบถึง 47% เทียบกับราคาจองซื้อ ต่อด้วย บมจ.นูทริชั่น โปรเฟส (NUT) ล่าสุดราคาหุ้นเหลือ 4.36 บาท ลดลง 36% จากราคาไอพีโอ เช่นเดียวกับ บมจ.ออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป (ONSENS) ราคาหุ้นอยู่ที่ 1.39 บาท ลดลง 32% จากราคาจองซื้อ ตามด้วย บมจ.แอตลาส เอ็นเนอยี (ATLAS) ล่าสุดเทรดที่ 2.38 บาท ลดลง 21% จากราคาไอพีโอ และ บมจ.อินดิจี (IDG) ที่ล่าสุดราคาหุ้นอยู่ที่ 2.7 บาท ลดลง 10% จากราคาจองซื้อ
ขณะที่ NUT และ ATLAS ราคาหุ้นต่ำจองตั้งแต่วันแรกที่เข้าซื้อขาย (1st Day Trading) โดย NUT เปิดที่ 6.20 บาท ลดลง 9% จากราคาไอพีโอ และปิดที่ 5.20 บาท ลดลง 24% จากราคาไอพีโอ ซึ่งตั้งแต่เข้าจดทะเบียนราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงสุดเพียง 6.85 บาท เท่านั้น จากราคา IPO ที่ 6.80 บาท
เช่นเดียวกับ ATLAS ที่เปิดการซื้อขายวันแรก 2.50 บาท ลดลง 17% จากราคาจองซื้อ และปิดที่ 2.20 บาท ลดลง 26% จากราคาจองซื้อ โดยราคาสูงสุดที่เคยทำได้คือ 2.88 บาท จากราคาจองซื้อที่ 3.00 บาท
ทั้งนี้ราคาหุ้น IPO ส่วนใหญ่มีผลงานที่ดีในวันแรกที่เข้าซื้อขาย (1st Day Trading) โดย 11 จาก 13 บริษัทเปิดเทรดปรับตัวเพิ่มขึ้น 5-158% จากราคาไอพีโอ ซึ่งมี 5 บริษัทที่ราคาปรับตัวขึ้นมากกว่า 50%
สถิติราคาหุ้น IPO วันแรกที่เข้าเทรด | ||||||
ชื่อย่อหุ้น | ราคา IPO (บ./หุ้น) | ราคาเปิด (บ./หุ้น) | %chg* | ราคาปิด (บ./หุ้น) | %chg* | วันที่เข้าเทรด |
SET | ||||||
MASTEC | 1.45 | 1.78 | 22.76 | 1.35 | -6.90 | 27 ต.ค. |
ATLAS | 3.00 | 2.50 | -16.67 | 2.22 | -26.00 | 20 ต.ค. |
ONSENS | 2.05 | 2.60 | 26.83 | 2.04 | -0.49 | 7 ต.ค. |
TURBO | 1.50 | 2.30 | 53.33 | 1.89 | 26.00 | 30 ก.ย. |
mai | ||||||
IDG | 3.00 | 5.40 | 80.00 | 3.78 | 26.00 | 24 ต.ค. |
88TH | 5.45 | 12.00 | 120.18 | 8.20 | 50.46 | 3 ต.ค. |
SKIN | 1.20 | 3.10 | 158.33 | 3.62 | 201.67 | 24 ก.ย. |
HANN | 0.70 | 0.90 | 28.57 | 2.12 | 202.86 | 14 ส.ค. |
NUT | 6.80 | 6.20 | -8.82 | 5.20 | -23.53 | 11 มิ.ย. |
BKA | 1.80 | 2.40 | 33.33 | 2.46 | 36.67 | 22 เม.ย. |
LTMH | 5.00 | 5.25 | 5.00 | 5.05 | 1.00 | 2 เม.ย. |
MOTHER | 1.40 | 2.16 | 54.29 | 1.61 | 15.00 | 11 ก.พ. |
PIS | 3.00 | 3.90 | 30.00 | 3.60 | 20.00 | 20 ม.ค. |
* %chg เทียบราคา IPO | ||||||
บมจ.สกิน ลาบอราทอรี่ (SKIN) โดดเด่นสุด เปิดตัวที่ 3.10 บาท เพิ่มขึ้น 158% จากราคา IPO และปิดวันแรกที่ 3.62 บาท เพิ่มขึ้น 202% จากราคา IPO
ตามด้วย บมจ.88(ไทยแลนด์) หรือ 88TH เปิดวันแรกที่ 12.00 บาท เพิ่มขึ้น 120% จากราคา IPO ก่อนจะย่อลงมาปิดที่ 8.20 บาท เพิ่มขึ้น 50% จากราคา IPO
ส่วนอีก 3 บริษัทที่เปิดตัวเกิน 50% ประกอบด้วย บมจ.เงินเทอร์โบ (TURBO) เปิดวันแรกบวก 53%, บมจ.มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง (MOTHER) เปิดวันแรกบวก 54% และ บมจ.อินดิจี (IDG) เปิดวันแรกบวก 80% จากราคา IPO
อย่างไรก็ตาม 13 หุ้น IPO ที่เข้าซื้อขายปีนี้ ในวันแรกที่เข้าเทรด มีเพียง 3 บริษัทเท่านั้นที่ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด ได้แก่ บมจ.โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล (HANN) เปิด 0.90 บาท ปิด 1.12 บาท เพิ่มขึ้น 136%, บมจ.สกิน ลาบอราทอรี่ (SKIN) ปิด 3.62 บาท เปิด 3.10 บาท เพิ่มขึ้น 17% และ บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA) เปิด 2.40 บาท ปิด 2.46 บาท เพิ่มขึ้น 2.50%
ส่วนที่เหลือราคาปรับตัวลดลงทั้งสิ้น ตั้งแต่ 4-32% โดย บมจ.นูทริชั่น โปรเฟส (NUT) ราคาลดลงระหว่างวันสูงสุด เปิด 6.20 บาท ปิด 5.20 บาท ลดลง 32% รองลงมาคือ บมจ.อินดิจี (IDG) เปิด 5.40 บาท ปิด 3.78 บาท ลดลง 30% และมีอีก 3 บริษัทที่ราคาปิดวันแรกลดลงมากกว่า 20% จากราคาเปิด ประกอบด้วย บมจ.มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง (MOTHER) เปิด 2.16 บาท ปิด 1.61 บาท ลดลง 25%, บมจ.แมสเทค ลิ้งค์ (MASTEC) เปิด 1.78 บาท ปิด 1.35 บาท ลดลง 24% และ บมจ.ออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป (ONSENS) เปิด 2.60 บาท ปิด 2.04 บาท ลดลง 22%
"ประกิต สิริวัฒนเกตุ" กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ระบุว่า สาเหตุที่ราคาหุ้น IPO ยืนระยะไม่ได้ เนื่องจากหลายบริษัทตั้งราคาเสนอขายหุ้นสูงเกินไป ประกอบกับภาวะตลาดหุ้นไทยที่ค่อนข้างผันผวน จึงทำให้มีแรงขายออกมา
ด้าน "ณัฐพล คำถาเครือ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เสริมว่า หุ้นใหม่ที่ขาย IPO เข้าตลาดฯ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ไม่ได้น่าสนใจมากนัก อยู่ในอุตสาหกรรมเดิม ๆ ที่ตลาดฯ มีอยู่แล้ว รวมถึงมีการตั้งราคาขายที่ระดับ P/E ค่อนข้างสูง แรงดึงดูดนักลงทุนให้เข้าไปซื้อจึงน้อย ซึ่งเมื่อหุ้น IPO เข้าตลาดไม่ได้รับความสนใจ มักจะถูกเทขาย
เช่นเดียวกับ แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์ มองในมุมเดียวกัน คือ ธุรกิจที่เข้าจดทะเบียนระยะหลังส่วนใหญ่ไม่ได้มีความน่าสนใจ ไม่มีลักษณะหุ้นเติบโต หลายบริษัทพิจารณาจากพื้นฐาน ยังอาจจะไม่ถึงเวลาเข้าตลาดหุ้นเลยด้วยซ้ำ แต่ยังฝืนเข้ามา ซึ่งทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นได้ยาก
"บางบริษัทมักมีนโยบายเติบโตสวยหรู แต่ก็มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำได้ตามคำมั่นสัญญา หากลองย้อนไปดูบทวิเคราะห์ที่ประเมินกำไรสุทธิอีก 1 ปีข้างหน้า ของหุ้นที่เข้ามาก่อนหน้านี้สัก 2 - 3 ปี จะพบว่าหลาย ๆ บริษัท ไม่สามารถทำได้ตามเป้าที่คาดการณ์ไว้ บางรายเป็นการสร้างภาพ บางรายมีการจ้างคาดการณ์กำไร เพื่อให้นักลงทุนสนใจหุ้นตัวเอง หรือหลาย ๆ รายก็เข้ามาเพื่อที่จะ Exit มันจึงทำให้ความเชื่อมั่นน้อย พอเห็นว่าธุรกิจไม่ดีจริง ก็ไม่มีใครเทรดกันแล้ว" แหล่งข่าวกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ
แหล่งข่าวรายเดิม เล่าต่อไปว่า สิ่งที่น่าเศร้าใจ ณ ปัจจุบัน คือ นักลงทุนที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้น IPO เจตนาหลักคือต้องการขายที่ราคาเปิดเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้ผลตอบแทนหุ้น IPO ปีนี้ไม่ดีเลยหลังเข้าเทรดไปแล้ว
บางบริษัทเปิดมาแล้วต่ำจองเลย แรงขายก็เกิดจากคนที่ได้หุ้นจองไปทั้งนั้น เพราะต้องยอมรับว่า พฤติกรรมนักลงทุนตอนนี้ เน้นระยะสั้นมากกว่าระยะยาว เมื่อเห็นว่าราคา ATO ไม่เป็นไปดังที่คาดหวัง หลายคนจึงเลือกที่จะขายตัดขายทุนลดความเสี่ยง เพื่อนำเงินไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นหรือสินทรัพย์อื่นดีกว่า
"อีกเรื่องที่น่าสนใจและตั้งคำถามคือ หุ้น IPO บางบริษัทมีแรงขายลึกลับจำนวนมากจากไหนก็ไม่รู้ สมมติจำนวนหุ้นจองซื้อ 50 ล้านหุ้น แต่ถึงเวลาดันมีหุ้นขายออกมาถึง 200 ล้านหุ้น อันนี้น่าแปลกมาก เพราะหุ้นที่ถูกขายมากกว่าหุ้นที่เปิดให้จอง เป็นแบบนี้มาสักพักแล้วในหลาย ๆ บริษัท และยังไม่เห็นมีใครตั้งคำถาม ซึ่งเรื่องพวกนี้ทำให้ความเชื่อมั่นในหุ้น IPO หมดไป ทุกคนที่ได้สิทธิจองซื้อก็จ้องจะขายเปิดวันแรก ลดเสี่ยงกันมากกว่า หากเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ในระยะยาว จะทำให้หุ้น IPO มีโอกาสหมดเสน่ห์ไปจากตลาดหุ้นไทยเลยก็ได้นะ"
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนจากการรวบรวมความเห็นของนักวิเคราะห์ข้างต้น ได้ข้อสรุปว่า นักลงทุนที่ได้รับรับสิทธิจองซื้อหุ้น ก่อนจะเข้าเก็บหุ้นในกระดาน ต้องพิจารณาข้อมูลและความเสี่ยงอย่างละเอียดรอบคอบ ธุรกิจต้องอยู่ในกระแสการเติบโตของโลก, มีโมเดลการเติบโตธุรกิจที่ชัดเจน, ราคาต้องสมเหตุสมผลไม่สูงเกินไป ที่สำคัญภาวะตลาดโดยรวมต้องอยู่ในแนวโน้มที่ดี หากขาดข้อใดข้อหนึ่ง ควร Wait & See ไปก่อน ไม่ต้องกลัวตกรถ เพราะอาจจะกลายเป็นขึ้นผิดขบวนและขาดทุน