ธปท.เผยไตรมาส 3/68 กำไรแบงก์อยู่ที่ 66,000 ล้านบาท ลดลง 6.9% จากสินเชื่อ-อัตราดอกเบี้ยหดตัว แม้เสถียรภาพแบงก์ยังแกร่ง แต่ยังต้องจับตาภาวะการเงินตึงตัว-ความสามารถในการชำระหนี้เอสเอ็มอี-เศรษฐกิจชะลอรายได้ฟื้นตัวช้า นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3/2568 ผลประกอบการระบบธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง ตามการหดตัวของสินเชื่อและการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิ 66,000 ล้านบาท ลดลง 6.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง สะท้อนจากสินเชื่อและดอกเบี้ยที่ปรับลดลง และมีค่าใช้จ่ายกันสำรอง 46,000 ล้านบาท ลดลง 4.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 
ทั้งนี้ สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ รวมเครือ หดตัวจากสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีและสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเล็กน้อย ทั้งนี้ ความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลงในขณะที่การชำระคืนหนี้เพิ่มขึ้น ขณะที่คุณภาพสินเชื่อ โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ค่อนข้างทรงตัวจาก New NPLที่ชะลอลงเป็นสำคัญ ทั้งนี้ NPL Ratio เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจากผลของฐานสินเชื่อที่หดตัว ด้านสินเชื่อ Stage2 ปรับเพิ่มขึ้น ตามการจัดชั้นเชิงคุณภาพจากปัจจัยเฉพาะรายของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ และส่วนหนึ่งจากการปรับชั้นดีขึ้นจาก NPL ด้านหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในไตรมาส 2/2568 ปรับลดลง มาอยู่ที่ 86.8% จากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ชะลอตัวลงเป็นสำคัญ โดยกลุ่มครัวเรือนมีภาวะระมัดระวังในการก่อหนี้จากภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีเสถียรภาพ แต่ยังต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ SMEs และครัวเรือนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และรายได้ที่ฟื้นตัวช้า ทั้งนี้ ความช่วยเหลือภายใต้โครงการ คุณสู้ เราช่วย มีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้ของ SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 2 ปี 2568 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน จากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลงเป็นสำคัญ ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ลดลงตามการก่อหนี้ที่ลดลงเป็นสำคัญ อยู่ที่ 81.3% ตามการก่อหนี้ที่ลดลงเป็นสำคัญและ ด้านความสามารถในการทำกำไรลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนเกือบทุกประเภทธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตามภาวะตลาดที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัว นายสมชาย กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มสินเชื่อในระยะข้างหน้า ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า รวมถึงยังต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในระยะข้างหน้า โดยจะต้องติดตามการส่งผลนโยบายรัฐบาลว่าช่วยส่งผ่านไปยังระบบเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหนด้วย |