IRPC เผยงบ Q3/68 กำไร 340 ลบ. - รายได้ 57,938 ลบ. เร่งเดินหน้ายุทธศาสตร์ “4R” เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการทำกำไร พร้อมสร้างผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืน ประเมินตลาดปิโตรเคมี Q4/68 ยังทรงตัว-ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3/68 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 340 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/68 ที่มีขาดทุนสุทธิ 2,132 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 57,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,136 ล้านบาท หรือ 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น และ ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 1% สำหรับธุรกิจปิโตรเลียม มีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาด (Market Gross Refining Margin: Market GRM) ที่เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานเทียบกับราคาน้ำมันเตาปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องด้วยราคาน้ำมันเตาที่ปรับตัวลดลง และ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นจากความกังวลด้านอุปทาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียกับประเทศยูเครน ธุรกิจปิโตรเคมี มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาดของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี (Market Product to Feed: Market PTF) ลดลงเล็กน้อย จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มปรับตัวลดลง ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาและอุปทานที่ยังมีปริมาณมาก ในขณะที่กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรขั้นต้นคงที่จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 5,493 ล้านบาท หรือ 9.04 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 2/68 ประกอบกับ สถานการณ์น้ำมันดิบในไตรมาส 3/68 ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียกับประเทศยูเครน ส่งผลให้บริษัทฯ มี Net Inventory Gain รวม 502 ล้านบาท หรือ 0.83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 3,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,806 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/68 ในไตรมาส 3/68 บริษัทฯ บันทึกกำไรจากการด้อยค่าและจำหน่ายทรัพย์สิน 133 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/68 ที่บันทึกขาดทุน 157 ล้านบาท ประกอบกับ บริษัทฯ บันทึกกำไรจากการลงทุน 210 ล้านบาท ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน จากปัจจัยที่กล่าวข้างต้น 
สำหรับงวด 9 เดือนปี 68 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิจำนวน 176,964 ล้านบาท จากราคาขายเฉลี่ยลดลง 15% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง และปริมาณขายลดลง 4% บริษัทฯ มี EBITDA จำนวน 4,848 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ บันทึกค่าเสื่อมราคา 7,049 ล้านบาท โดยหลักเป็นผลจากสินทรัพย์ที่เพิ่มจากโครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) โดยงวด 9 เดือนปี 68 บริษัทฯ บันทึกขาดทุนจากการลงทุนจำนวน 215 ล้านบาท ส่งผลให้ในงวด 9 เดือน ปี 68 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 2,998 ล้านบาท น้อยกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 1,070 ล้านบาท นายเทอดเกียรติ กล่าวต่อไปว่า IRPC ได้ดำเนินแผนยุทธศาสตร์ “4R” ปี 68 – 73 ประกอบด้วย Re-capitalize, Re-vitalize, Re-invent และ Re-frame กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนความสามารถในการทำกำไรและสร้างความยั่งยืนทางการเงินของบริษัทฯ ในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางสำคัญ ดังนี้ Re-capitalize : การบริหารจัดการทรัพย์สินที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก เพื่อเพิ่มศักยภาพและความมั่นคงทางการเงิน IRPC มุ่งเพิ่มกระแสเงินสดและสร้างผลตอบแทน ผ่านการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Non-core Assets Optimization) ให้เกิดมูลค่าสูงสุด เช่น โครงการพัฒนาที่ดินเพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ (Health and Wellness) อ.เมือง จ.ระยอง โดยร่วมมือกับพันธมิตรเครือโรงพยาบาลบางปะกอกและปิยะเวท โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อ.จะนะ จ.สงขลา และ อื่น ๆ Re-vitalize : การยกระดับประสิทธิภาพและสมรรถนะของธุรกิจหลัก ได้แก่ ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี โดยเดินหน้าปรับโครงสร้างต้นทุนและกระบวนการปฏิบัติงาน (Operations Excellence) พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพเชิงพาณิชย์ (Commercial Excellence) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ผ่านมาตรการสำคัญ เช่น การบริหารต้นทุน และ การจัดหาวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ การปรับโครงสร้างองค์กร และ พัฒนาศักยภาพบุคลากร และ เสริมความร่วมมือกับลูกค้า และ พันธมิตรเชิงกลยุทธ์
Re-invent : การลงทุนในแหล่งรายได้ใหม่สร้างการเติบโตระยะยาวจากธุรกิจที่มีมูลค่าสูง บริษัทฯ มุ่งต่อยอดธุรกิจ Downstream โดยปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับความพร้อมด้านเงินทุน พร้อมรองรับความต้องการของตลาดในอนาคต
Re-frame : เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืน เร่งปรับเปลี่ยนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ปรับโมเดลธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนาศักยภาพบุคลากร และ เสริมระบบการทำงานสู่มาตรฐานระดับสากล 
ส่วนแนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบและตลาดปิโตรเคมีในไตรมาส 4/68 สถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบ คาดว่า ความต้องการใช้น้ำมันจะเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม เช่น สภาวะตลาดแรงงานของประเทศสหรัฐฯ และ การเจรจาการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ กับประเทศจีน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คาดว่า จะมีปัจจัยสนับสนุนความต้องการใช้น้ำมันตามฤดูกาลในช่วงฤดูหนาวและช่วงเทศกาลปลายปี นอกจากนี้ การที่ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอัตรา 0.25% สู่ระดับ 3.75 - 4.00% ในวันที่ 30 ตุลาคม 68 อาจเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนความต้องการใช้น้ำมัน ในส่วนของอุปทาน คาดว่า การปรับเพิ่มการผลิตจาก Voluntary Cut ของโอเปกพลัส จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดน้ำมันดิบ ทั้งนี้ คาดว่า สถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะยังไม่คลี่คลาย จะยังคงสร้างความไม่แน่นอนในตลาดน้ำมันดิบต่อไป ทางด้านสถานการณ์ตลาดปิโตรเคมี คาดว่า ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงทรงตัวถึงปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ทั้งนี้ โดยปกติแล้วความต้องการจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 เพื่อรองรับการผลิตสำหรับฤดูการท่องเที่ยวและช่วงเทศกาลปลายปี แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ผู้ซื้อส่วนใหญ่ชะลอการซื้อ หรือ เลือกซื้อเท่าที่จำเป็น อีกทั้ง กำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคาตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตบางรายอาจพิจารณาปรับลดอัตราการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับระดับความต้องการในตลาดและเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา
สำหรับการดำเนินงานด้าน ESG บริษัทฯ ได้รับรางวัล Climate Action Excellence Awards 2025 จากสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (CCI) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม และ ได้รับรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนระดับ Gold ติดต่อกัน 2 ปีซ้อน จากกระทรวงยุติธรรม สะท้อนการเป็นองค์กรต้นแบบการดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม

|