
ในช่วงที่ผ่านมา บทความแนวผลกระทบ QE ต่อเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ผมจะเน้นไปในสหรัฐและยุโรป บทความนี้ น่าจะเป็นครั้งแรกๆ ที่เขียนเกี่ยวกับบทเรียนของการทำ Quantitative Easing (QE) และ Quantitative Tightening (QT) ในอังกฤษโดยตรง
1. อย่าแบกรับความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยมากโดยไม่จำเป็น
โดย BOE ต้องแบกรับผลขาดทุนกว่า 70% สำหรับการถือครองพันธบัตรอังกฤษ (gilts) สาเหตุเนื่องมาจาก gilts ส่วนใหญ่ที่ BOE ซื้อ เป็นพันธบัตรระยะยาว ซึ่งถึงแม้ว่าสัดส่วนของพันธบัตรอังกฤษจะเป็นแบบระยะยาว ทว่าการซื้อ gilts ของ BOE เป็นทางเลือกของแบงก์ชาติอังกฤษที่สามารถจะเลือกได้ว่าต้องการอายุบอนด์สั้นหรือยาวแค่ไหน หากพิจารณาจากแบงก์ชาติออสเตรเลีย จะพบว่าจำกัดไว้ที่อายุ 2-3 ปี เป็นส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งเนื่องจากต้องการลดความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น การไม่นำความเสี่ยงด้านการเงินมาพิจารณา ถือว่าไม่น่าใช่วิถีของแบงก์ชาติที่มีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี
2. ควรจะปรับอายุของ QE ให้เข้ากับสินเชื่อหลักในประเทศตนเอง ในกรณีของอังกฤษ BOE มีเหตุผลที่จะตอบสังคมได้ว่าจะซื้อ gilts อายุสั้นๆ ได้ไม่ยาก เนื่องจากสินเชื่อบ้านเกือบทั้งหมดของอังกฤษมีอายุสัญญากู้ต่ำกว่า 5 ปี
3.แบงก์ชาติควรจะทำ QE ให้สอดคล้องกับลักษณะเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยของประเทศตนเอง ตรงนี้ ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าควรเป็นเช่นนั้น ในปี 2011 ตอนนั้น อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นขยับขึ้นมาสูงกว่าที่ควรจะเป็น ในขณะที่ยิลด์ระยะยาวลดต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็น เฟดจึงตัดสินใจซื้อพันธบัตรระยะสั้นและขายพันธบัตรระยะยาว เพื่อดึงให้ยิลด์ระหว่างระยะสั้นและระยะยาวมีความสมดุลมากขึ้น ที่เรียกกันว่า ปฏิบัติการ Operation Twists
4. ตราสารทางการเงินที่ซื้อไม่จำเป็นต้องซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพียงอย่างเดียว โดย BOE เน้นซื้อ gilts เพียงอย่างเดียว ในขณะที่เฟดซื้อหุ้นกู้เอกชนและตราสาร Mortgage-backed ด้วย โดยจากงานวิจัยพบว่าตราสารทางการเงินเหล่านี้ส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าพันธบัตรเสียอีก
1. Active QT เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ BOE: ด้วยความที่ BOE ถือครองพันธบัตรระยะยาวเป็นหลัก จึงมีความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยมากกว่าเพื่อนๆ อย่างเฟดหรือธนาคารกลางยุโรป ทำให้ BOE จำเป็นต้องลดขนาดงบดุลของตนเอง หรือ QT ด้วยการขายพันธบัตรแบบ Active ที่พิจารณาทิศทางการขึ้นหรือลงของอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
2.ให้ความสนใจต่อ Feedback ของตลาดก่อนลงมือทำ QT: หากย้อนไปในเดือนกันยายน 2022 ที่ BOE เริ่มทำ QT แบบ Active มีการสำรวจนักลงทุนโดย BOE ปรากฏว่าเมื่อนักลงทุนทราบว่าจะทำ QT หรือขาย gilts อัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ gilts ก็ขึ้นไป 15 bps และขึ้นอีก 10 bps เมื่อมีการประกาศการทำ QT แบบเป็นทางการ
อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ทาง BOE กลับประเมินว่าผลจาก QT มีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ gilts เพียง 10 bps โดยไม่ได้คำนึงถึงผลการสำรวจของตนเองเมื่อ 1 ปีก่อนหน้า
3. BOE ควรเปิดกว้างสำหรับการประเมินผลกระทบของ QT: เมื่อพิจารณาผลการประเมินจากอดีตสมาชิกคณะกรรมการธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือสูง ปรากฏว่าคำนวณผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ gilts ที่ 70 bps ซึ่งสูงกว่าที่ BOE คำนวณไว้ถึง 4 เท่า นอกจากนี้ ไม่ควรเน้นวิธีการวิเคราะห์จากฝั่งสหรัฐเพื่อนำมาใช้กับตลาดอังกฤษแบบไม่ลืมหูลืมตา โดยงานวิจัยของนักวิจัยของอังกฤษเอง พบว่าผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ gilts ที่ 35-40 bps
4. ไม่ควรกำหนดเวลาแบบตายตัวไว้ 1 ปีในการทำ QE/QT: ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน 2020 ที่ BOE ประกาศซื้อ gilts จนถึงเดือนธันวาคม 2021 ปรากฏว่าแค่เดือนพฤษภาคม 2021 อัตราเงินเฟ้อ CPI อังกฤษก็สูงกว่าเป้าหมาย โดยในเดือนสิงหาคมขึ้นไปเป็น 3.2% กระนั้นก็ดี การทำ QE ก็ยังทำต่อไป ทำให้มองได้ว่าการทำตามสิ่งที่ประกาศไป ถือว่าดี ทว่าทำให้เกิดความไม่ยืดหยุ่น
ย้อนกลับมาล่าสุด เดือนเมษายน 2025 ตลาดกดดันให้ BOE ยกเลิกการขาย gilts เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ทว่าในเดือนกรกฎาคม BOE ก็ประการขาย gilts อีก ซึ่งอัตราดอกเบี้ยก็ยังคงอยู่ในระดับสูงเท่ากับเดือนเมษายน ดังนั้น BOE ไม่ควรจะเคร่งครัดในแผนการขายพันธบัตร และมีความยืดหยุ่นในการทำ QT โดยประเมินสถานการณ์เป็นระยะๆ
1. การลดขนาดงบดุลของ BOE เป็นการเตรียมพร้อมไว้ให้สามารถรับมือสำหรับวิกฤตรอบหน้า นั่นคือ การลดขนาดงบดุลลง 3.3 แสนล้านปอนด์ ทำให้สามารถทำการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนในช่วง Brexit ด้วยขนาด 6 หมื่นล้านปอนด์ สามารถกระตุ้นเหมือนในช่วงวิกฤตซับไพร์ม 2 แสนล้านปอนด์ หรือหากนับจากอัตราส่วนระหว่างงบดุล BOE ต่อ GDP ยังกระตุ้นด้วยขนาดเท่าช่วงวิกฤตซับไพร์มได้อีก ทว่าเมื่อพิจารณาการขาดทุนมูลค่า 1.33 แสนล้านปอนด์ ของ BOE ก็อาจต้องคิดหนักอยู่เหมือนกัน
2. หากพิจารณาจากความเร็วของ QT ระหว่างแบงก์ชาติต่างๆ จะพบว่า BOE มีความเร็วในการลดขนาดงบดุลสูงกว่าเฟดและแบงก์ชาติยุโรป อย่างไรก็ดี เมื่อดูจากระดับอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน จะพบว่า อัตราเงินเฟ้ออังกฤษสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะการลด งบดุล BOE ขาย gilts แบบอายุ 30 ปี ในขณะที่สินเชื่อของชาวอังกฤษมีอายุ 3-5 ปีเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การส่งผ่านเพื่อทำการลดเงินเฟ้อจากขนาดงบดุลที่ลดลงแทบไม่เกิดขึ้น
ท้ายสุด การขายพันธบัตรของ BOE หรือ QT นั้น เท่ากับเป็นการช่วยกระทรวงการคลังอังกฤษไปในตัว เนื่องจากการขาดทุนของแบงก์ชาติอังกฤษจากการขายพันธบัตรดังกล่าว จะเป็นผลดีต่อกระทรวงการคลังอังกฤษจากการที่ไม่ต้องขาดทุนจากการขายพันธบัตรเอง