
ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคใต้ที่เพิ่งประสบความเสียหาย สะท้อนให้เห็นถึงความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง ภัยพิบัติหนึ่งครั้งสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากมาย
สถานการณ์ดังกล่าวผลักดันให้ไทยต้องเร่งวางแผนลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล ที่เกิดจากจากความเสี่ยงภัยธรรมชาติ จึงต้องเดินตามตามสัญญาประชาคมโลกที่ลงนามในการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) พร้อมเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050
หลังจากลากยาวหลายรัฐบาล ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ “พ.ร.บ.โลกร้อน” ในที่สุดก็ผ่านมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะไขกุญแจเปิดประตูสู่อนาคตเศรษฐกิจสีเขียวของไทย
คุณพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวในงานสัมมนา Sustainability Forum 2026 ว่า หลังครม.อนุมัติแล้ว จะเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.โลกร้อนให้ผ่านสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาภายใน 4 เดือนที่เหลือของรัฐบาลนี้ เมื่อเข้าสู่รัฐสภาคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ปี ทำให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ได้ตามที่คาดไว้ประมาณต้นปี 2570

เหตุผลสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งผลักดัน พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดกลไกทางการตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และการเงินสีเขียว (Green Finance) เพื่อเร่งลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีการลดคาร์บอนให้กับภาคเอกชน รองรับการขยายตัวของธุรกิจใหม่
สอดคล้องกันกับแผน NDC ของไทยคือ หรือ การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” (Nationally Determined Contribution) ซึ่งมีเป้าหมายหลักคือ การลดก๊าซเรือนกระจก โดยแผนล่าสุดอยู่ที่ NDC 3.0 จากประชุม COP30 มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไทยต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 109.2 ล้านตัน จากปีฐาน 2019 ที่ปล่อย 379.2 ล้านตัน ให้เหลือไม่เกิน 152 ล้านตัน (ลดลง 47%) โดยแบ่งเป็น 70% หรือ 76.4 ล้านตัน ลดด้วยความสามารถของประเทศเอง ส่วนอีก 30% หรือ 32.8 ล้านตัน ต้องขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 2.3 แสนล้านบาท ระหว่างปี 2030-2035
“หัวใจสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ จึงต้องเริ่มต้นจากออกแบบนโยบายแข่งขัน ดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศราว 30% หรือประมาณ 32.8 ล้านตันคาร์บอน ผ่านการเงินไฟแนนซ์รูปแบบใหม่ซึ่งจะเข้ามาอย่างต่อเนื่องในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศใดที่มีศักยภาพพร้อม ประเทศนั้นจะดึงเงินได้มากกว่า”

ถือเป็นโจทย์ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ภาคธุรกิจ นักลงทุน ภาคประชาสังคม และประชาชน ต้องร่วมกันหาแนวทางการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ให้คนเข้าถึงได้ เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำโดยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ไทยต้องเร่งเวลาให้บรรลุเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมปี 2065 เป็นปี 2050 เพราะเทคโนโลยีและระบบเศรษฐกิจพลังงานเปลี่ยนไป หากมีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้น ต้นทุนลดลง และมีมาตรการทางกฎหมายมาบังคับใช้ จะทำให้ไทยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel) สู่พลังงานสะอาดจากหลากหลายวิธี ทั้งการกักเก็บและใช้ประโยชน์คาร์บอน (CCUS) ไฮโดรเจน (Hydrogen) การขนส่งสีเขียว (Green Mobility) และค่อยๆ ลดสัดส่วนการใช้ถ่านหินอย่างเป็นระบบ
สาระสำคัญของ พ.ร.บ.โลกร้อน จะนำไปสู่การเปลี่ยนทิศทางการเงินสู่โอกาสในการสร้างการเติบโตจากเศรษฐกิจใหม่ขับเคลื่อนด้วยธุรกิจสีเขียว มี 6 ด้าน ดังนี้
พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ นำไปสู่การสร้างกฎระเบียบข้อบังคับ เพื่อตั้ง “กองทุนสนับสนุนการปรับตัว” และจัดระบบการรายงานของภาคอุตสาหกรรม ช่วยลดความเสี่ยงให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการเมื่อต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจใหม่
ถือเป็นการกำหนดกรอบเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม เช่น เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซในระดับชาติและรายภาคส่วน พร้อมหน่วยงานกำกับดูแลที่มีอำนาจและความชัดเจนในการบังคับใช้ ในขณะเดียวกันมีกลไกช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ต้องการปรับตัว พร้อมระบบรายงานข้อมูลที่โปร่งใส
นอกจากนี้ยังตั้งกองทุนหรือกลไกทางการคลังรองรับทั้งการลดการปล่อยก๊าซ (Mitigation) และการปรับตัว (Adaptation) พัฒนามาตรฐานการรายงานด้านสภาพภูมิอากาศระดับชาติที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมถึงใช้แรงจูงใจทางภาษีและการสนับสนุนเชิงการเงิน เพื่อผลักดันเทคโนโลยีสะอาดและการปรับกระบวนการผลิต

มีการตั้งกองทุนกลางที่เชื่อมต่อกับการเงินภาครัฐและเอกชน เพื่อให้การปรับตัวลดก๊าซคาร์บอนมีกองทุนรองรับทั่วโลก ปลดล็อกปัญหาเม็ดเงินที่กระจัดกระจายและช่องว่างการเข้าถึง
ประเทศไทยจึงต้องสร้างกลไกกองทุนที่เชื่อมต่อกับแหล่งเงินทั้งในและต่างประเทศ พร้อมออกแบบเงื่อนไขให้เหมาะสมกับธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) ที่ต้องการสนับสนุนแหล่งเงินทุนในการปรับตัว เช่น การพัฒนาพันธบัตรสีเขียว (Green Bond) หรือสร้างเครื่องมือประกันความเสี่ยงเพื่อช่วยลดต้นทุนการลงทุน
ธนาคารและสถาบันการเงินต้องสร้างมาตรฐานการประเมินความเสี่ยงด้านภูมิอากาศที่ชัดเจนเกี่ยวกับการสนับสนุนการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Transition Finance) อาทิ การพัฒนามาตรฐานการรายงานด้านสภาพภูมิอากาศระดับชาติที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
เป็นเครื่องมือทางการเงินในการสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อในกิจกรรมประเภทธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการการเปลี่ยนผ่าน ผ่านการจัดหมวดหมู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Taxonomy) โดยการแยกด้วยระบบ “สี” เป็นสัญลักษณ์ของกิจกรรมทางธุรกิจ (สีเขียว สีเหลือง สีแดง)
ธุรกิจที่อยู่ระหว่างสีแดงที่ต้องแก้ไข และสีเหลืองที่เปลี่ยนผ่านสู่สีเขียว เป็นประเภทที่ไม่ควรทิ้งไว้ข้างหลัง ต้องมีการออกแบบมาตรการจูงใจให้มีการยกระดับเกิดการเปลี่ยนผ่าน เช่น เครดิต ภาษี หรือการประกันความเสี่ยง จะช่วยให้การลงทุนเชิงสิ่งแวดล้อมเดินหน้าได้จริง

ต้องมีการลงทุนระบบข้อมูลสภาพอากาศและความเสี่ยงที่ทันสมัย ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และโมเดลพยากรณ์เพื่อเตรียมการล่วงหน้า ระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่เชื่อมโยงถึงชุมชนจะลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้มากขึ้น ข้อมูลที่แม่นยำยังช่วยให้การบริหารจัดการน้ำ การวางผังเมือง และการวางแผนการเกษตรมีประสิทธิภาพ
ต้องมีการเชื่อมต่อกันวางแผนการทำงาน กระตุ้นให้ชุมชนมีบทบาทร่วมในการวางแผนจัดการทรัพยากรในพื้นที่ โดยมีการสนับสนุนงบประมาณและเทคโนโลยีให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการรับมือของชุมชน พร้อมฟื้นฟูระบบนิเวศและดูแลรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติ
นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งระบบเพื่อสร้างตลาดและสนับสนุนให้การออกนโยบายนำไปใช้ได้จริง
ผู้บริโภคไม่คิดจะเปลี่ยนพฤติกรรม แต่เราทุกคนอยากอยู่อากาศสะอาด เมื่อเห็นน้ำท่วมภัยแล้ง แต่ทุกคนอยากทำตัวแบบเดิมไม่สามารถลดคาร์บอนได้ ในยุคต่อไปเราไม่สามารถหยุดภัยพิบัติโดยการชนะธรรมชาติ แต่จะต้องพร้อมปรับตัวไปกับการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ภาคอุตสาหกรรมต้องเริ่มรายงานและตั้งเป้าการลดการปล่อยก๊าซจริงจัง เพื่อทำให้เกิดข้อมูลชัดเจน ส่วนภาคประชาชนและผู้บริโภคต้องสร้างความต้องการในสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“การเปลี่ยนแปลงต้องการความร่วมมือจากสังคม เพราะนโยบายและเงินทุนจะไม่เพียงพอหากประชาชนไม่เปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมก็ไม่เกิดผล จึงต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคเปลี่ยน เพราะต้นทุนที่แพงที่สุดคือเทคโนโลยี ดังนั้น ต้นทุนที่ถูกที่สุดคือการปรับพฤติกรรม จากลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ธุรกิจ หรือประชาชน ทุกฝ่ายมีบทบาทร่วมกัน หากเราทุกคนเปลี่ยนการกระทำในวันนี้ พรุ่งนี้ของประเทศและโลกจะเปลี่ยนไป”