เมย์แบงก์ ฯ มองหุ้นไทย พ.ย.68 แกว่งตัวในกรอบ 1,260-1,340 จุด จับตาประกาศงบไตรมาส 3/68 กำหนดทิศทางตลาด หลังปัจจัยต่างประเทศผ่อนคลาย แนะกลยุทธ์การลงทุน เลือกหุ้นแนวโน้มกำไรเติบโต เลือก AMATA CPN และ WHAUP บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ มองตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ย. 2568 แกว่งตัวในกรอบ 1,260-1,340 จุด แรงขับเคลื่อนของตลาดในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมยังมีลักษณะผสมผสาน โดยตัวแปรหลักขึ้นอยู่กับทิศทางผลประกอบการ 3Q68 และแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้-ปีหน้า ด้านปัจจัยต่างประเทศมีความชัดเจนและผ่อนคลายมากขึ้น ส่วนประเด็นอื่นๆ ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลทั้งด้านบริโภค (คนละครึ่งพลัส) การท่องเที่ยว (เที่ยวดีมีคืน) และเดือนนี้คาดจะมีมาตรการแก้หนี้ภาคประชาชนเข้าเพิ่มเติม หนุนบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นน่าจะตอบรับเชิงบวกไปพอสมควรแล้ว กลยุทธ์การลงทุนเดือน พ.ย.จึง Selective Play หุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเติบโต Valuation อยู่ในจุดที่น่าสนใจ AMATA CPN และ WHAUP 
• ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกลดลง การบรรลุข้อตกลงหลายด้านจากการประชุมระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ และ สี จิ้นผิงในเดือนก่อนถือเป็นการลดการเผชิญหน้าและการตอบโต้ทางภาษีของ 2 ประเทศ ซึ่งในอีกด้านหนึ่งจะเป็นการลดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกไปด้วย ขณะที่การประชุม OPEC+ ที่ส่งสัญญาณหยุดเพิ่มกำลังการผลิตในเดือน 1Q69 น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยจำกัด Downside ของราคาน้ำมันดิบและหุ้นกลุ่มพลังงานของบ้านเรา ส่วนในเดือนนี้ (5 พ.ย.) ติดตามศาลสูงสุดสหรัฐฯจะเริ่มไต่สวนกรณีประธานาธิบดีทรัมป์ มีอำนาจใช้กฎหมาย IEEPA ในการกำหนดภาษีการค้าหรือไม่ ซึ่งผลการตัดสินเชื่อว่าจะใช้เวลาหลายเดือน ผลต่อตลาดหุ้นโลกและบ้านเราจึงคาดจำกัด ส่วนประเด็นอื่นๆ จะอยู่ที่การปรับปรุงมุมมองการลดดอกเบี้ยฯของ FED หลังประธาน FED ส่งสัญญาณระมัดระวังต่อการลดดอกเบี้ยฯในการประชุม FOMC เดือนก่อน ปัจจุบัน FEDWATCH Tool ให้โอกาสลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค.เหลือ 67% จากก่อนการประชุมให้โอกาสสูงถึง 90% ทั้งนี้หากตลาดให้น้ำหนักกับ FED เลือกจะคงดอกเบี้ยฯในเดือน ธ.ค. มากขึ้น อาจทำให้ตลาดหุ้นโลกปรับฐานช่วงสั้นๆ แต่สำหรับบ้านเราจะไม่ลงแรงเท่าเนื่องจากผลตอบแทน YTD ของ SET Index -6.5% เทียบกับ MSCI World ปรับขึ้นถึง +20% และ Fund Flow ต่างชาติตั้งแต่ต้นปีที่ขายสุทธิ 1 แสนล้านบาท ส่วนประเด็นอื่นๆ 6 พ.ย. ติดตามการประกาศหุ้นที่เข้าออกในดัชนี MSCI ที่จะมีผลในวันที่ 25 พ.ย. • กำไร 3Q68 อีกหนึ่งตัวแปรกำหนดทิศทางตลาด การรายงานงบ 3Q68 เฉพาะหุ้นที่มี Bloomberg Consensus คาด รายงานแล้วคิดเป็นสัดส่วน 35% Market Cap ทำกำไรดีกว่า Bloomberg Consensus คาด 10% โดยแรงหนุนหลักมาจากกลุ่มธนาคารที่รายได้ค่าธรรมเนียม รายได้เงินลงทุนและการตีมูลค่ายุติธรรมมากกว่าคาดและ DELTA ที่กำไรดีกว่าคาดจากยอดขายธุรกิจ AI ทำให้ปัจจุบันยังไม่ได้เปิดความเสี่ยงต่อการปรับลดประมาณการณ์ ซึ่ง Bloomberg Consensus คาดที่ 89 บาท/หุ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามหุ้นในภาค Real Sector ที่จะทยอยรายงานในช่วงที่เหลือของเดือนนี้ ในเชิงกลยุทธ์สำหรับหุ้นใน Theme Earnings Play เราชอบหุ้นที่คาดกำไร 3Q68 ขยายตัวดีอย่าง GFPT MTC TRUE CPN COM7 AMATA และ WHAUP • Quick Big Win เดือน พ.ย. คาดคืบหน้ามาตรการแก้หนี้ภาคประชาชน เชื่อว่ารัฐบาลนายกฯ อนุทินจะเดินหน้าผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบาย Quick Big Win ที่เคยประกาศ ซึ่งเดือนนี้ คาดจะมีความคืบหน้าต่อมาตรการแก้หนี้ภาคประชาชนผ่านกลไกการโอนหนี้ให้ AMC โดยตั้ง AMC รับซื้อหนี้เสียรายย่อยที่ไม่มีหลักประกันที่มีวงเงินไม่เกิน 1 แสนบาทต่อราย โดยเฟสแรกเป็นลูกหนี้ธนาคาร บ.กลุ่มการเงินของธนาคารและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ครอบคลุม 2.36 ล้านบัญชี มูลค่าหนี้ประมาณ 6.24 หมื่นล้านบาท กลไกจะเป็นการขายโอนหนี้ให้กับ SAM และ ARI-AMC เสนอ ครม 11 พย 68 ส่วนเฟส 2 ที่จะมุ่งเน้นไปที่ลูกหนี้ของกลุ่ม Non-Bank ที่ไม่ใช่บริษัทลูกของธนาคาร ประเมินโครงการนี้จะเป็นตัวช่วยลด NPL ในอนาคตและอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ยังคงติดตามแนวทางจาก ธปท. เกี่ยวกับราคารับซื้อหนี้ต่อไป โดยหุ้นได้ประโยชน์ BAM มีสัดส่วนการถือหุ้น 50% ใน ARI-AMC กลุ่มธนาคารที่สัดส่วนหนี้รายย่อยที่ไม่มีหลักประกันสูง TTB (7%) KBANK (6%) KTB (26% แต่ลูกค้าเป็นข้าราชการ ความเสี่ยงจากคุณภาพสินเชื่อจึงต่ำกว่า) และกลุ่ม Non Bank ที่เป็นลูกธนาคารอย่าง KTC กลยุทธ์การลงทุนเดือน พ.ย. 2568 เลือก AMATA CPN WHAUP AMATA (เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 26.00 บาท) • คาดว่ากำไรหลักจะเติบโตเฉลี่ย 16% ต่อปี (ระหว่างปี 2568–2570) ทำสถิติสูงสุดใหม่หนุนจาก Presalaes ที่คาดว่าได้ประโยชน์การไหลเข้า FDI โดยเฉพาะจากจีนเข้าในพื้นที่ EEC และ Backlog เดิมที่แข็งแกร่ง อัตรากำไรขั้นต้นของที่ดินที่เพิ่มขึ้นรวมถึงรายได้ประจำที่ยังเติบโต โดย Catalyst ของเดือนนี้อยู่ที่การรายงานงบ 3Q68 เราคาดจะขยายตัวได้ทั้ง QoQ/YoY และดีต่อใน 4Q68 • ราคาปัจจุบันอยู่ในโซน Deep Value โดยซื้อขาย PER69 เพียง 5 เท่า (-1.6SD) โดยเราคาดหวังจะเห็นการ Re-rating PER ขึ้นโดยแรงสนุบสนุนจากการเร่งตัวของยอด Presales และแนวโน้มกำไร CPN (เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 64.00 บาท) • คาดการณ์กำไรหลัก 3Q68 ที่ 4.5 พันล้านบาท ขยายตัว +2% YoY และ +8%QoQ โดยกำไร YoY ได้แรงหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นเป็น 58.5% จากการประหยัดค่าไฟฟ้า และคาด 4Q68 จะดีต่อเนื่องโดยคาดกำไรหลักจะอยู่ที่ 4.9 พันล้านบาท ขยายตัว +15%YoY และ +8%QoQ ซึ่งเติบโตจากการท่องเที่ยวช่วงปลายปี, อัตราการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้น, และการเริ่มโอนคอนโดมิเนียม • ราคาหุ้นซื้อขายอยู่ที่อัตราส่วน PER68/69 ที่ 13.0/11.9 เท่า ซึ่งต่ำที่สุดในค้าปลีกที่ซื้อขายเฉลี่ย 16.2/14.7 เท่า แม้ว่า CPN จะมีการเติบโตของรายได้ค่าเช่าจากสาขาเดิมและ ROE ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยก็ตาม WHAUP (เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 5.30 บาท) • คาดการณ์ว่ากำไรหลักปี 2569 จะเติบโตสูงถึง 22% และมีการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 13% ในช่วงปี 2568-2571 สนับสนุนหลักมาจากความต้องการบริการสาธารณูปโภคที่มากขึ้น โดยเฉพาะดีมานด์จาก Data Center รวมถึงการฟื้นตัวของพอร์ตธุรกิจพลังงาน • ปัจจุบันซื้อขายที่ PER69 เพียง 12.5 เท่าเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 18.3 เท่า หรือซื้อขายต่ำกว่ากลุ่มมากถึงราว 30% นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นด้านผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงถึง 6.4% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มถึง 2 เท่าเป็นปัจจัยช่วยจำกัด Downside ราคาหุ้น 
|