สินเชื่อสุทธิรวมในเดือน ต.ค. ปรับลดลง 0.9% MoM เป็นการปรับลดลงต่อเนื่อง 5 เดือนติดต่อกัน ส่งผลให้สินเชื่อใน 10M25 ปรับลดลง 4% YTD สะท้อนความต้องการสินเชื่อที่อ่อนแอ ความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อใหม่ และการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้รายใหญ่ แม้สินเชื่ออาจฟื้นตัวในเดือน ธ.ค. เพราะเป็นช่วงการใช้จ่ายในเทศกาลวันหยุด แต่เพราะเศรษฐกิจที่ถูกกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐ และเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคใต้ คาดว่าสินเชื่อใน 4Q25 อาจแค่ทรงตัว QoQ และสินเชื่อในปี 2025 ปรับลดลงราว 2-3% ทั้งนี้ คาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.25% ในเดือน ธ.ค. แต่ผลกระทบจำกัดต่อผลการดำเนินงานในปี 2025 โดยคาดว่ากำไรสุทธิรวมในปี 2025 จะเพิ่มขึ้นราว 5% อย่างไรก็ดี สินเชื่อที่อ่อนแอ และ NIM ลดลงกดดันรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในปี 2026 ลดลงส่งผลให้กำไรสุทธิ คาดว่าปรับลดลง 2% ในปี 2026 แต่ด้วยฐานเงินกองทุนแข็งแกร่ง ธนาคารสามารถรักษาการจ่ายเงินปันผลระดับสูงได้ และทำโครงการซื้อหุ้นคืน โดยคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยสูงที่ 6.2% ในปี 2025-26 ด้านการลงทุน กลุ่มธนาคารซื้อขายที่ 0.7x PBV’26E (-0.5SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี) คงน้ำหนักการลงทุน "เท่ากับตลาด" เลือก SCB เป็นหุ้นเด่น สินเชื่อสุทธิรวมเดือน ต.ค. ลดลง 0.9% MoM และลดลง 4% YTD ใน 10M25 • ธนาคาร 11 แห่งรายงานสินเชื่อสุทธิรวมในเดือน ต.ค. ลดลง 0.9% MoM เป็นการลดลงต่อเนื่อง 5 เดือนติดต่อกัน ธนาคารส่วนใหญ่รายงานสินเชื่อลดลง โดยเฉพาะ KTB ที่สินเชื่อลดลงถึง 2.6% MoM ขณะที่ธนาคารที่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย BBL (+0.5%) CREDIT (+0.8%) LHFG (+1.9%) และ TISCO (+1%) • สินเชื่อใน 10M25 ลดลง 4% YTD (ม.ค.-ต.ค. 2025) เทียบกับ -1.9% ช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน สะท้อนความต้องการสินเชื่อลดลง และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ ในรอบ 10 เดือน มีเพียงสินเชื่อในเดือน มี.ค. และ พ.ค. เท่านั้นที่ขยายตัว ทั้งนี้ ธนาคารเพียง 2 แห่งที่สินเชื่อขยายตัว ประกอบด้วย CREDIT (+9.7% YTD) และ LHFG (+8.8% YTD) สินเชื่อของ KTB ปรับลดลงมากที่สุดถึง -7.2% YTD คาดว่ามาจากการชำระคืนหนี้ของสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่ และสินเชื่อภาครัฐ • เงินฝากรวมในเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 0.9% MoM (+0.7% YTD ใน 10M25) ทำให้สัดส่วนสินเชื่อสุทธิต่อเงินฝากเฉลี่ยลดลงที่ 83.1% ในเดือน ต.ค. จาก 84.6% ในเดือน ก.ย. และ 87.1% ในเดือน ธ.ค. 2024 บ่งชี้สภาพคล่องส่วนเกินที่มีค่อนข้างสูง **เศรษฐกิจใน 4Q25 ชะลอตัวจากนโยบายภาษีของสหรัฐ และผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดภาคใต้ ** • ผลกระทบจากนโยบายปรับขึ้นภาษีของสหรัฐส่งผลกระทบเชิงกว้างต่อการค้าโลก เพิ่มความท้าทายต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ เหตุการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดในภาคใต้เพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจไทยในปี 2025 เติบโตราว 2% ตามที่สภาพัฒน์คาดการณ์ พบว่าใน 4Q25 เศรษฐกิจอาจเติบโตเพียง 0.8% เท่านั้น เป็นไตรมาสที่ขยายตัวต่ำที่สุดในปี 2025 • โดยปกติสินเชื่อใน 4Q25 มักจะขยายตัว เพราะเป็นช่วงการใช้จ่ายในเทศกาลวันหยุด และการส่งออก แต่สำหรับในปี 4Q25 เราคาดว่าสินเชื่ออาจแค่ทรงตัว หรือปรับลดลง QoQ จากใน 3Q25 ทำให้สินเชื่อในปี 2025 อาจปรับลดลง 2-3% นอกจากนี้ เราคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ธ.ค. เหลือ 1.25% เพื่อลดภาระทางการเงินของลูกหนี้ และช่วยพยุงเศรษฐกิจ • เราคาดว่ากำไรสุทธิรวมจะปรับเพิ่มขึ้นราว 5% YoY หนุนจากกำไรพอร์ตลงทุนเพิ่มขึ้น สำรองหนี้ฯ ลดลง ขณะที่ในปี 2026 คาดว่ากำไรรวมจะลดลง 2% เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงต่อเนื่อง และกำไรจากพอร์ตลงทุนลดลง อย่างไรก็ดีเงินกองทุนที่แข็งแกร่งทำให้ธนาคารสามารถระดับการจ่ายเงินปันผลได้แม้กำไรจะปรับลดลง โดยคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่ 6.2% ในปี 2025-26 **คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” SCB เป็นหุ้นเด่น ** คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” ความท้าทายเศรษฐกิจที่สูงขึ้นหลังจากเศรษฐกิจไทยในปี 4Q25 ชะลอตัว และอ่อนแอต่อเนื่องในปี 2026 ส่วนสำคัญเพราะการส่งออกของไทยชะลอตัวจากนโยบายภาษีของสหรัฐ กอปรกับการใช้จ่ายชะลอตัวจากระดับหนี้ครัวเรือนของไทยสูง อย่างไรก็ดี พื้นฐานของกลุ่มธนาคารที่แข็งแกร่งจากการควบคุมหนี้เสีย และระดับการกันสำรองหนี้ฯ สูง นกอจากนี้ ธนาคารสามารถจ่ายเงินปันผลสูง และออกโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นปัจจัยลดความผันผวนของราคาหุ้นในช่วงที่ความสามารถทำกำไรในปี 2026 ชะลอตัว และมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก Analyst: Tanadech Rungsrithananon Registration No.017926 Email: Tanadech.ru@pi.financial |