BCP เผยไตรมาส 3/68 พลิกมีกำไร 1,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 153% จากค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หนุน EBITD พุ่ง และการรับรู้ผลการขาดทุนสต๊อกน้ำมันลดลง ส่วน 9 เดือน มีกำไร 663 ล้านบาท ลดลง 69% จากผลกระทบขาดทุนสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันดิบลดลง บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 3/68 กลุ่มบริษัทบางจากมีผลกําไรส่วนของบริษัทใหญ่ 1,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 153% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 2,093 ล้านบาท คิดเป็นกําไรต่อหุ้น 0.80 บาท กลุ่มบริษัทบางจาก มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 123,305 ล้านบาท (-2% QoQ, -20% YoY) EBITDA ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ 10,269 ล้านบาท (>100% QoQ, 43% YoY) และมี กําไรสุทธิจากการดําเนินงานปกติ ที่ไม่รวมรายการพิเศษ) 3,186 ล้านบาท (>100% QoQ,>100% YoY) โดยกลุ่มธุรกิจ โรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างมาก (>100% QoQ) สร้างกระแสเงินสดให้กับกลุ่มบริษัทฯ ได้อย่างมีนัยสําคัญ จากค่าการกลั่นพื้นฐานของกลุ่มบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งอยู่ที่ US$7.38/BBL ได้รับปัจจัยหนุนจาก Crack Spread ของน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน (กลุ่ม Middle Distillates) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ เนื่องจากปริมาณ สต็อกน้ำมันดีเซลในสหรัฐฯ และยุโรปที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี การทยอยปิดโรงกลั่นหลายแห่งในทวีปยุโรป และ ความกังวลด้านอุปทานจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 
ประกอบกับอัตรากําลังการกลั่นเฉลี่ยในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 264.9 KBD เพิ่มขึ้น 23.3 KBD เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่โรงกลั่นศรีราชาชะลอการกลั่นเพื่อปรับปรุงหน่วยกลั่นตามแผน อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงมาตรการเพิ่มเติมทางภาษีของสหรัฐฯ และมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซียของ สหภาพยุโรปส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบระหว่างไตรมาสมีความผันผวน โดยน้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ขณะที่ น้ำมันดิบเดทเบรนท์เคลื่อนไหวในทิศทางขาลง ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจโรงกลั่น รับรู้ Inventory Loss 1,218 ล้านบาท ซึ่งลดลง อย่างมีนัยสําคัญเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นอย่างมากของ Crack Spread ในกลุ่ม Middle Distillates ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรม (Mark to Market) ของสัญญาซื้อขายส่วนต่างน้ำมันดิบและ ผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า 1,079 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA ปรับเพิ่มขึ้นอย่าง มีนัยสําคัญ (+38% QoQ) โดยมีปริมาณการจําหน่ายในตลาดอุตสาหกรรมเติบโตอย่างโดดเด่น จากการขยายตลาดของผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High-Value Products) อาทิ ยางมะตอย และน้ำมันเรือเดินสมุทร ซึ่งสามารถชดเชยปริมาณการขายผ่านสถานีบริการที่ลดลงเนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนได้ทั้งหมด สําหรับค่าการตลาดสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ เติบโตขึ้น 16% QoQ สอดคล้องกับการรับรู้ Inventory Loss ที่ลดลงเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และการเติบโตของผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง โดยกลุ่มบริษัทฯ ยังคงส่วนแบ่งทางการตลาดค้าปลีกอยู่ที่ระดับ 29% กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด มีปริมาณการผลิตและจําหน่ายไฟฟ้า เพิ่มขึ้น QoQ โดยเฉพาะจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ําในสปป.ลาว จากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นในฤดูมรสุม ประกอบกับเริ่มรับรู้ผลการดําเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานลมมอนซูน (Monsoon) ในสปป. ลาว ที่ทยอยเปิดดําเนินการเชิงพาณิชย์จนครบทั้งโครงการใน เดือนส.ค. 68 นอกจากนี้ บริษัทฯรับรู้ส่วนแบ่งกําไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในประเทศ สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น QoQ ทั้งจากค่าความพร้อมจ่าย (Capacity Revenue) ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก $29/MW-day เป็น $270/MW-day ตั้งแต่เดือนมิ.ย. 68 และจากปริมาณจําหน่ายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในฤดูร้อนของสหรัฐฯ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ได้รับแรงหนุนจากราคาไบโอดีเซลที่เพิ่มขึ้น 3% QoQ หนุนให้บริษัทฯ มีกําไรสูงขึ้น ซึ่งสามารถชดเชยปริมาณการจําหน่ายไบโอดีเซลที่อ่อนตัวลดลงตามความต้องการในการบริโภคที่ชะลอตัวในช่วงฤดูฝนได้ ขณะที่ยอดจําหน่ายเอทานอลเพิ่มขึ้นตาม แผนบริหารการขายของกลุ่มบริษัทฯ กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มีปริมาณการผลิตปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าประมาณการ และมีปริมาณการจําหน่ายเพิ่มขึ้น 10% QoQ จากการเริ่มผลิตน้ํามันและก๊าซธรรมชาติในหลุมผลิต Sognefjord East ของแหล่งผลิต Brage ตั้งแต่เดือนก.ค. 68 แม้มีรายการด้อยค่าจากการปรับลดปริมาณสํารองและราคาน้ํามันคาดการณ์ล่วงหน้า (Forward Price) ที่ลดลง แต่ OKEA ยังคงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และมีกระแสเงินสดสุทธิเป็นบวก สำหรับงวด 9 เดือนปี 68 มีกำไรสุทธิ 663 ล้านบาท ลดลง 69% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,167.5 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.48 บาท โดยกลุ่มบริษัทบางจาก มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 383,780 ล้านบาท (-14% YoY) EBITDA 26,600 ล้านบาท (-20% YoY) และมีกําไรสุทธิจากการดําเนินงานปกติ (ที่ไม่รวมรายการพิเศษ) 6,184 ล้านบาท (43% YoY) ทั้งนี้ จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงอย่างมีนัยสําคัญจากเฉลี่ยที่ US$83/BBL ใน 9M/2567 เป็น US$71/BBL ในรอบ 9 เดือนของปีนี้ อันเนื่องมาจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการค้า และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ในด้านอุปทาน กลุ่ม OPEC+ ตัดสินใจเพิ่มปริมาณการผลิตต่อเนื่องตั้งแต่เดือน เม.ย. 68 เป็นต้นมา ส่งผลกดดันและสร้างความผันผวนต่อราคาน้ำมันดิบ โดย กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ได้รับ ผลกระทบจาก Inventory Loss ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ตามราคาน้ํามันดิบที่ลดลง อย่างไรก็ดี แม้ว่า Crack Spread อ่อนตัวลง แต่กลุ่มบริษัทฯ มีค่าการกลั่นพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นเป็น US$5.27/BBL (จาก US$3.80/BBL) เนื่องจากต้นทุนน้ำมันดิบ ของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งอ้างอิงกับน้ำมันดิบเดทเบรนท์เป็นหลักปรับลดลงมากกว่าน้ำมันดิบดูไบใ นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีกําลังการกลั่นเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเนื่องจากโรงกลั่นพระโขนงไม่มีการปิดซ่อมบํารุงครั้งใหญ่ตามวาระเช่นเดียวกับปีก่อน อันช่วยชดเชยผลกระทบของ Crack Spread ที่อ่อนตัวได้ทั้งหมด 
|